วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ความหมายของ ERM,CRP,CRM,SCM

ความหมายของ ERM,CRP,CRM,SCM

- การวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) เป็นการนำระบบงานทุกอย่างในองค์กรมาทำการเชื่อมโยงเข้าด้วยกันและมีการนำข้อมูลจากทุกแผนกงานต่างๆนั้นนำมาใช้ร่วมกันเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีผู้ที่ได้ให้ความหมายหรือคำนิยามเกี่ยวกับการวางแผนทรัพยากร องค์กรไว้ดังต่อไปนี้
การวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) โดยการมุ่งเน้นที่จะปรับปรุงระบบการดำเนินงานและการพัฒนาบุคลากรขององค์กร เพื่อให้องค์กรมีขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเป็นการผสานกลยุทธ์ทางธุรกิจ เทคโนโลยี และบุคลากรเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน (ธงชัย สันติวงษ์ ,http://www.nationejobs.com/ask/guru_t2_thai.asp?askno=1066)
- วิธีการที่องค์กรนำมาใช้เพื่อเป็นเครื่องมือที่จะนำมาสู่การจัดการที่จะให้เกิดมูลค่าสูงสุด (Value Chain) ในองค์กรโดยจะมีการติดตั้งซอฟต์แวร์เพื่อใช้ในองค์กรทั้งหมด ดังนั้นจึงทำให้หน่วยงานทุกหน่วยงานในองค์กรสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ในฐานข้อมูลอันเดียวกันได้ อาทิเช่น คำสั่งซื้อ (Sales Order) ที่เกิดขึ้นมาหนึ่งคำสั่งจะมีผลต่อหน่วยงานอื่นๆโดยอัตโนมัติอาทิเช่น โรงงาน (Manufacturing) , คลังสั่งซื้อ (Inventory) , จัดซื้อ (Procurement) , อินวอยซ์ (Invoice) , ลงบัญชี (Financial ledger) เป็นต้น (http://www.IeaTth.com/Csgroup)
- ทุกสิ่งทุกอย่างภายในองค์กรที่ทำให้เกิดผลผลิตขององค์กรได้ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในสิ่งที่เราทำได้ เช่น การบริการ, การผลิต ที่เราจะเข้าไปแปรสภาพให้ได้มูลค่าเพิ่ม และเราจะจัดการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) นี้อย่างไรนั่นเอง การวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) นี้จำเป็นจะต้องเชื่อมโยงกับซอฟต์แวร์ เพื่อให้การเชื่อมโยงสามารถนำไปจัดการกระบวนการต่างๆ ได้ เช่น เพื่อซื้อวัตถุดิบเข้ามา, การรับคำสั่งของลูกค้าให้ถูกต้อง, ส่งมอบสินค้าในเวลาที่ต้องการ ฯลฯ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะต้องนำคิดเป็นต้นทุน จัดทำเป็นบัญชี โดยการใช้ซอฟต์แวร์เพื่อให้ข้อมูลต่างๆ เชื่อมโยงกันทั้งองค์กร และเป็นข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ และประสานกันเป็นหนึ่งนั่นเอง (ปรีชา พันธุมสินชัย , 2547)
- ระบบสารสนเทศในองค์กรวิสาหกิจที่สามารถบูรณาการ (Integrate) รวมงานหลัก (core business process) ต่างๆในบริษัททั้งหมด ได้แก่ การจัดซื้อจัดจ้าง,การผลิต,การขาย,การบัญชี และการบริหารบุคคล เข้าด้วยกันเป็นระบบที่สัมพันธ์กันและสามารถเชื่อมโยงกันอย่างทันทีทันใด (real time) (อิทธิ ฤทธาภรณ์ และ กฤษดา วิศวธีรานนท์, 2547:7)

ERP (Enterprise Resource Planning) สามารถจัดการ Transaction Cycle ได้หมดดังนี้
- Expenditure
- Conversion
- Revenue
- Financial
ERP เป็น Software ที่ใช้ในการ Manage ได้ทั้งองค์กร โดยที่มี common Database เก็บข้อมูลทุกอย่างไว้ที่เดียวกัน เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนของข้อมูล ทำให้มีประสิทธิภาพ มีการ Share ข้อมูลสูงสุด โดยแต่ละส่วนสามารถดึงข้อมูลส่วนกลางที่ตัวเองสนใจมาวิเคราะห์ได้ และ สามารถที่จะ Integrate ได้หมดไม่ว่าจะเป็น Marketing Manufacturing Accounting และ Staffing
ก่อนที่จะมีระบบ ERP นั้น เดิมในวงการอุตสาหกรรมประมาณช่วงทศวรรษ 1960 ได้มีการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในส่วนของการผลิตทางด้านการคำนวณความต้องการวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต หรือที่เรียกเป็นทางการว่าระบบ Material Requirement Planning ( MRP ) ก็คือเราจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการบริหารและจัดการในส่วนของวัตถุดิบหรือ Material ที่ใช้ในการผลิตเท่านั้น ต่อมาในช่วงประมาณทศวรรษ 1970 ระบบการผลิตในอุตสาหกรรมมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นจึงมีการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในส่วนของการผลิตในด้านของเครื่องจักร ( Machine ) และส่วนของเรื่องการเงิน ( Money ) นอกเหนือไปจากส่วนของวัตถุดิบ ซึ่งเราจะเรียกระบบงานเช่นนี้ว่า Manufacturing Resource Planning ( MRP II )
จากจุดนี้เราพอจะมองเห็นภาพคร่าวๆ ของการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการบริหารงานในอุตสาหกรรมได้ ดังที่มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการจัดการหลายท่านได้กล่าวไว้ว่า ระบบ MRP นั้นจะเข้ามาช่วยในการจัดการทางด้าน Material ส่วนระบบ MRP II นั้นจะเข้ามาช่วยในการจัดการใน M อีกสองตัวนอกเหนือจาก Material ก็คือ Machine และ Money ซึ่งระบบ MRP II ที่ชื่อ TIMS ของประเทศนิวซีแลนด์ จะมีเมนูหลักของ Module 3 Modules หลักด้วยกันคือ Financial Accounting , Distribution และ Manufacturing และใน Module ของ Manufacturing จะมีส่วนของ MRP รวมอยู่ด้วย
จะเห็นได้ว่าในการนำเอาระบบ MRP II เข้ามาช่วยในองค์กรหนึ่งๆ นั้น จะยังไม่สามารถซัพพอร์ตการทำงานทั้งหมดในองค์กรได้ นี่จึงเป็นที่มาของระบบ ERP ซึ่งจะรวมเอาส่วนของ M ตัวสุดท้ายก็คือ Manpower เข้าไปไว้ในส่วนของระบบงานที่เรียกตัวเองว่า ERP นั่นเอง ดังนั้นระบบ ERP จึงเป็นระบบที่ใช้ในการบริหารงานทรัพยากรทั้งหมดในองค์กร ( Enterprise Wide ) หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ระบบ ERP จะเป็นระบบที่ใช้ในการจัดการ 4 M ซึ่งจะประกอบไปด้วย Material , Machine , Money และ Manpower นั่นเอง ดังนั้นถ้าเราเข้าไปดูที่เมนูหลักของระบบ ERP เราจะพบว่ามีเมนูของทั้ง MRP และ MRP II รวมอยู่ด้วยเพราะ ERP มีต้นกำเนิดมาจากระบบ MRP และ MRP II นั่นเอง
ERP จะเน้นให้ทำ Business Reengineering เพื่อปรับปรุงระบบให้เข้ากับ ERP ซึ่งจะแบ่ง Function Area เป็น 4 ส่วนหลักๆ คือ
1. Marketing Sales
2. Production And Materials Management
3. Accounting And Finance
4. Human Resource
แต่ละส่วนจะมี Business Process อยู่ในนั้น ซึ่งจะมีหลาย Business Activity มาประกอบกัน เช่น activity การออก Invoice เป็น Activity แต่ละ Activity จะไปต่อเนื่องกันหลายๆอันออกไปจนกลายเป็น Process ที่เรียกว่า “Computer Order management” ซึ่งจะไปเกี่ยวข้องกับ Functional Area ที่เรียกว่า “Marketing And Sale” Concept หลักๆของ ERP คือ เอาทุกข้อมูลของแต่ละแผนกมา Integrate กัน เพื่อ Share ข้อมูลกัน
ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org
ความหมายของ CRM
CRM=Customer Relationship Management: การบริหารจัดการ การบริการ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจกับทั้งสินค้า บริการ และ บริษัท ระบบ CRM จะใช้ไอทีช่วยดำเนินงาน และ จัดเตรียมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการบริการลูกค้า CRM หมายถึงการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือ CRM (Customer Relationship Management) เป็นแขนงทางธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยธุรกิจชั้นนำทั่วโลกได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการสร้างธุรกิจให้เติบโตด้วยผลกำไรสูงสุดเป้าหมายสูงสุดของระบบ CRM คือ การเติบโตของธุรกิจที่มีผลกำไรด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะสมให้กับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการผ่านช่องทางที่ถูกต้องเหมาะสมกับจังหวะเวลาภายใต้ต้นทุนที่สมเหตุสมผลประโยชน์ทางธุรกิจที่ได้รับจาก CRM สามารถเห็นได้จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น การเติบโตของยอดขาย กำไรสุทธิในผลประกอบการ ตลอดจนความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าและพนักงาน อย่างไรก็ตาม การที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายต่างๆ เหล่านี้ได้จำต้องอาศัยการปรับกระบวนการทำงานทุกส่วนในองค์กรให้คำนึงถึงเรื่องการบริการลูกค้าในระยะยาวเป็นสำคัญและกระบวนการนี้สามารถเริ่มต้นจากข้อได้เปรียบต่างๆ มากมายที่มีอยู่แล้วในองค์กรเมื่อธุรกิจต่างๆ พยายามขวนขวายนำระบบรวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาสนับสนุนเพื่อเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญของตนยิ่งกลายเป็นความท้าทายในการปรับองค์กรให้สามารถสนองตอบความต้องการลูกค้าได้สูงสุด ซึ่งระดับการตอบสนองความต้องการลูกค้าครอบคลุมตั้งแต่ความพร้อมในการให้บริการผ่านทางโทรศัพท์ อีเมล์ และอินเทอร์เน็ตได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไปจนถึงการบันทึกข้อมูลการติดต่อกับลูกค้าอย่างถูกต้อง และการแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงทีด้วยความระมัดระวัง ทั้งนี้ ในสหรัฐอเมริกา มีสถิติที่แสดงให้เห็นว่าการติดต่อทางธุรกิจในปัจจุบันมากกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้เป็นแบบเจอหน้ากัน (face-to-face contact) แต่เป็นการติดต่อผ่านอินเทอร์เน็ต เพราะเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเติบโตและได้รับความนิยมแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งช่วยลดอุปสรรคด้าน "เวลา" ในการให้บริการลูกค้า ทั้งนี้ การติดต่อกับลูกค้าในลักษณะเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกด้วยเช่นกันศักยภาพของพนักงาน หรือ ทางเลือกใหม่แบบการบริการตัวเอง (self-service option) จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นต้องขึ้นอยู่กับ 1. ความเร็วของระบบโครงสร้างพื้นฐานในการส่งผ่านข้อมูลไปยังผู้ที่ต้องการข้อมูลเหล่านั้น 2. อุปกรณ์จัดเก็บประวัติและข้อมูลของลูกค้าที่จะช่วยให้เข้าใจถึงความชอบของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว 3. การติดต่อผ่านช่องทางเว็บที่มีการจัดวางโครงสร้างไว้อย่างดีและ 4.ความสามารถในการบริหารเสมือนหนึ่งว่าบริษัทได้ปรับองค์กรทุกส่วนเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงตาม ความต้องการของลูกค้าแต่ละรายแล้วปัจจุบัน ปัญหาท้าทายที่บริษัทชั้นนำกำลังพยายามขจัดออกไปคือ การปรับกระบวนการทำงานขององค์กรและการรวบธุรกรรมหลายๆ อย่างเข้าด้วยกันโดยทำไปพร้อมๆ กันเป็นลักษณะภาพรวม (holistic view) ในระหว่างที่ติดต่อกับลูกค้าแต่ละราย นั่นก็หมายความว่า ความไว้วางใจในระบบ CRM จะช่วยให้การบริการลูกค้าทำได้ในขอบเขตที่กว้างขึ้นกว่าการติดต่อทำธุรกรรมและการแสวงหาเครื่องมือและระบบสนับสนุนใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงเท่านั้น เพราะระบบนี้สามารถเชื่อมโยงกระบวนการและขั้นตอนการทำงานทุกๆ ส่วนขององค์กรเข้าด้วยกันภายใต้กลไกในการติดต่อกับลูกค้าเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้น CRM จึงเป็นระบบที่ช่วยให้องค์กรสามารถเข้าถึงจุดที่เป็นความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งบางทีอาจเป็นครั้งแรกที่องค์กรนั้นทำได้สำเร็จ ทั้งนี้เนื่องจากลูกค้ามองทั้งบริษัทเป็นเพียงหน่วยงานเดียวซึ่งเรื่องนี้พนักงานบริการลูกค้าทราบดี เพราะเมื่อใดก็ตามที่ลูกค้าติดต่อธุรกิจทางอีเมล์ แฟกซ์ หรือคุยตรงกับพนักงานบริษัท ปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ถือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความประทับใจของลูกค้าที่มีต่อธุรกิจ ขณะเดียวกันยังเป็นวิธีสนองความต้องการของลูกค้าตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ด้วยการรักษาคำมั่นสัญญาที่มีต่อลูกค้าอย่างสม่ำเสมอถือเป็นหัวใจสำคัญของ CRM ด้วยลูกค้าที่มีอยู่มากมายหลากหลายกลุ่มและผลิตภัณฑ์และบริการที่มีอยู่หลากหลาย จึงเป็นเรื่องยากมากขึ้นทุกทีในการให้บริการให้ได้ตามคำมั่นสัญญาที่มีไว้กับลูกค้า เพราะการรักษาคำมั่นสัญญาไปพร้อมๆ กับการคงต้นทุนให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง และแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวคือ การสร้างสรรค์ซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่มีประสิทธิภาพในการจัดการเรื่องการติดต่อกับลูกค้า ตลอดจนการติดตามผลการทำงานในรูปแบบที่ปรับให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจและสามารถปฏิบัติได้ตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับลูกค้าเสมอ ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้จะช่วยดึงดูดลูกค้ารายใหม่เข้ามาสู่บริษัทขณะเดียวกันก็สามารถรักษาพวกเขาไว้ได้ด้วยสภาพความเป็นจริงในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้านั้น องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องใช้กระบวนการทำงานและเทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบจากแหล่งต่างๆ ซึ่งความหลากหลายนี้ทำให้การนำเสนอรูปแบบภาพรวม (holistic view) แบบเดียวเป็นเรื่องยากกว่าจะประสบความสำเร็จได้ เว้นเสียแต่จะมีการนำกลยุทธ์แบบเบ็ดเสร็จที่มีประสิทธิภาพสูงมาประยุกต์ใช้ ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลากหลายประเภทที่องค์กรสามารถนำมาใช้รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าไว้ได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ยังมีความสับสนกันอยู่มากในเรื่อง CRM เพราะผู้ค้าซอฟต์แวร์ต่างๆ ต่างอ้างว่า ซอฟต์แวร์ของตนเป็นซอฟต์แวร์ CRM และมีคุณสมบัติของ CRM ครบถ้วนเพราะในความเป็นจริงแล้วระบบ CRM เพียงระบบเดียวไม่สามารถทำให้บรรลุเป้าหมายของ CRM ได้ แต่จะต้องมีการผสมผสานเครื่องมือและเทคโนโลยีหลากหลายประเภทเข้าด้วยกันเป้าหมายดังกล่าวจึงบังเกิดขึ้นได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวก่อให้เกิดประเด็นที่ควรพิจารณา 2 ประการหลัก คือ1. มีฟังก์ชันการทำงานบางอย่างที่ระบบ CRM ต้องใช้ซอฟต์แวร์ในการดำเนินงาน แต่ซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ในตลาดยังไม่สามารถตอบสนองการทำงานของฟังก์ชันดังกล่าวได้ ดังนั้น การผสมผสานซอฟต์แวร์ต่างๆ เข้าด้วยกันจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ การผนวกรวมระบบและซอฟต์แวร์ต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้ทำงานร่วมกันได้เป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมาก2. การนำระบบ CRM มาใช้ให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีทั้งการวางแผนที่ดีและการวางระบบที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม องค์กรส่วนใหญ่มุ่งที่จะดำเนินงานทุกอย่างให้บรรลุผลด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ปัจจัยทั้งสองประการนับว่ามีความสำคัญและจำเป็นต้องนำมาใช้ทำงานร่วมกันเพื่อดึงศักยภาพของระบบ CRM ออกมาใช้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ การประสานการวางแผนที่ดีและการวางระบบที่เหมาะสมเข้าด้วยกันทำให้ขั้นตอนการดำเนินธุรกิจต่างๆ สำหรับการวางกลยุทธ์ด้าน CRM บรรลุเป้าหมาย ดังตัวอย่างเช่น การกำหนดความสามารถในการสร้างผลกำไรของลูกค้า การแบ่งกลุ่มลูกค้า และการกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ การเพิ่มยอดขายด้วยการแนะนำสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกันในกลุ่มอื่นๆ (cross-selling) ให้กับกลุ่มลูกค้าเดิมนอกจากนี้แล้วขั้นตอนการทำธุรกิจในส่วนงานติดต่อกับลูกค้า (อาทิ ส่วนงานขายและบริการหลังการขาย) จะสามารถดำเนินไปและเสร็จสิ้นลงโดยอัตโนมัติ ควรมีการกำหนดภาพรวมที่ชัดเจนและสอดคล้องกันเกี่ยวกับลูกค้า รวมทั้งความคืบหน้าในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าในอดีตและปัจจุบัน มีการสร้างและจัดเก็บข้อมูลลูกค้าแต่ละราย เพื่อนำมาใช้งานปัจจุบัน การประสานระบบเพื่อวางระบบ CRM มีการผสมผสานกันหลากหลายวิธี อย่างไรก็ตาม การผสมผสานที่มีความซับซ้อนมากจะทำให้การวางระบบใช้ระยะเวลานานขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการวางกลยุทธ์ด้าน CRM ขององค์กร นอกเหนือจากความซับซ้อนในการวางระบบแล้ว ปัจจัยด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและวางระบบ CRM ได้แก่1. การจัดการช่องทางการสื่อสารหลายช่องทาง และสนับสนุนให้ทำงานร่วมกับสื่อต่างๆ : ทุกวันนี้ ลูกค้าเป็นผู้เลือกวิธีและเวลาที่ต้องการติดต่อธุรกิจกับผู้ค้ามากขึ้น แทนที่ผู้ค้าจะเป็นฝ่ายเลือก นอกจากนี้ ลูกค้ายังต้องการสิทธิ์ในการเลือกซื้อสินค้าและบริการที่ต้องการ และสิทธิ์ในการเลือกรับบริการและคำแนะนำจากฝ่ายขาย ความซับซ้อนในการสื่อสารแบบหลายช่องทางนี้ก่อให้เกิดความต้องการระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งมิใช่เฉพาะการสื่อสารภายในฝ่ายต่างๆ หรือช่องทางการสื่อสารช่องทางใดช่องทางหนึ่งเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงส่วนงานติดต่อกับลูกค้าทุกหน่วย และช่องทางการสื่อสารทุกช่องทางอีกด้วย2. อี-คอมเมิร์ซ : แนวทางการดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีผลกระทบสำคัญที่สุดต่อกลยุทธ์ CRM โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์กรธุรกิจใช้ระบบอีคอมเมิร์ซในการจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้า การทำธุรกรรมในระบบอีคอมเมิร์ซถือเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในภาพรวม (แบบ holistic) โดยมีการปรับปรุงทะเบียนข้อมูลของลูกค้าให้อัปเดตตลอดเวลา ตลอดจนพร้อมนำมาใช้งานกับช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ทั้งหมด ทั้งนี้ การมีฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มความชำนาญให้พนักงานขายสามารถจำหน่ายสินค้าและบริการที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละรายได้อย่างดี ซึ่งจากการศึกษากรณีตัวอย่างที่ผ่านมา พบว่า กลยุทธ์ CRM ทำให้ยอดขายในการสั่งซื้อแต่ละครั้งเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 35เว็บถือเป็นสื่อสำคัญอีกสื่อหนึ่งในการเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกค้าต้องการคำปรึกษาในกรณีที่เกิดปัญหาเร่งด่วน หรือในกรณีที่ลูกค้าไม่ไว้ใจสื่อที่ใช้ในการทำธุรกรรม นอกจากนี้ ยังใช้เป็นสื่อสำหรับองค์กรธุรกิจต่างๆ ในการติดต่อพูดคุยกับลูกค้าเพื่อนำเสนอการบริการที่เข้าถึงความต้องการลูกค้าอย่างถ่องแท้ หรือเพื่อติดตามทวงหนี้3. ความสอดคล้องของขั้นตอนการทำธุรกิจผ่านทุกช่องทางในการติดต่อกับลูกค้าทั้งหมด : ในการดำเนินการดังกล่าวจำเป็นต้องมีแหล่งข้อมูลลูกค้าที่แน่นอนเพียงแหล่งเดียว และมีขั้นตอนการทำงานของฝ่ายขายและฝ่ายสนับสนุนในแนวทางเดียวกัน ไม่ว่าการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าจะเกิดขึ้นในรูปแบบใดก็ตาม4. การรวมระบบ CRM เข้ากับระบบแบ็คออฟฟิศ : แม้ส่วนงานแบ็คออฟฟิศจะไม่ต้องติดต่อกับลูกค้าโดยตรง แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับลูกค้า เช่น งานด้านบัญชีและการจัดทำบิล งานพัฒนาผลิตภัณฑ์ การผลิต การประมวลผลงานรับคำสั่งซื้อสินค้าและส่งสินค้า ตลอดจนข้อมูลจากฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่อาจมีความสำคัญในการติดต่อกับลูกค้า ดังนั้น การรวมแอปพลิเคชันของส่วนงานติดต่อกับลูกค้าและส่วนงานแบ็คออฟฟิศจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อเรียนรู้และเข้าใจภาพรวมของลูกค้าได้โดยสมบูรณ์และชัดเจน5. เพิ่มผลผลิตด้วยระบบอัตโนมัติและระบบ CRM: การใช้ระบบขายอัตโนมัติ ซอฟต์แวร์คอลล์เซ็นเตอร์ ซอฟต์แวร์บริการลูกค้า และซอฟต์แวร์บริหารโครงการทำให้องค์กรมีผลผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีผลกำไรเพิ่มขึ้นตามมาด้วย อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่เกิดจากการทำงานระบบอัตโนมัติ คือ ผลผลิตเพิ่มมากขึ้นมิใช่ประโยชน์ในแง่ของการขยายธุรกิจได้มากขึ้นซึ่งเป็นผลพวงของ CRM อย่างไรก็ตาม การบรรลุผลสำเร็จในการทำ CRM อย่างแท้จริงนั้น หมายถึง จะต้องมองกระบวนการในการทำธุรกิจแบบภาพรวม และกระบวนการเหล่านี้จะต้องดำเนินไปในแนวทางเดียวกันในทุกช่องทางพร้อมด้วยศักยภาพความสามารถในการนำขั้นตอนเหล่านี้มาใช้เป็นพลัง ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ6. ฐานข้อมูลลูกค้าที่เป็นระบบและมีเอกภาพ : ฐานข้อมูลลูกค้าที่เป็นระบบและมีเอกภาพมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยปกติแล้ว ชุดซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับส่วนงานติดต่อกับลูกค้าและส่วนงานสนับสนุนจะมาพร้อมกับระบบข้อมูลลูกค้า และฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โดยชุดซอฟต์แวร์สำเร็จรูปเหล่านี้ไม่เคยติดตั้งแยกออกจากกัน หน่วยงานทุกแห่งจะมีข้อมูลและฐานข้อมูลลูกค้าของตนก่อนมีการจัดซื้อชุดซอฟต์แวร์สำเร็จรูป โดยส่วนใหญ่แล้ว หน่วยงานจะติดตั้งชุดซอฟต์แวร์สำเร็จรูปซึ่งทำหน้าที่เสมือน "คลัง" จัดเก็บข้อมูลลูกค้าแยกออกจากคลังจัดเก็บข้อมูลที่มีอยู่เดิม ซึ่งแตกต่างจากจุดมุ่งหมายในการติดตั้งซอฟต์แวร์ในตอนแรกที่มุ่งเน้นการรวบรวมข้อมูลให้เห็นภาพรวมของทั้งองค์กร นอกจากนี้ การซื้อชุดซอฟต์แวร์สำหรับส่วนงานติดต่อกับลูกค้า และส่วนงานสนับสนุนจากบริษัทผู้ผลิตรายเดียวกันมิได้ยืนยันว่า ชุดซอฟต์แวร์ทั้งสองประเภทนี้มีรูปแบบข้อมูลเหมือนกัน หรือมีการผสมผสานกันอย่างสมบูรณ์ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/Customer_Relationship_Management".

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

รูปภาพสวย ๆ เชิญส่งมาได้นะจ๊ะ

ใครมีรูปภาพสวย ๆ มาแลกเปลี่ยนกันดูนะจ๊ะ คลายเครียดได้นะจ๊ะ

พ.ร.บ.ภาษีป้าย

ภาษีป้าย
----------
การจัดเก็บภาษีป้าย
1. ป้ายที่ต้องเสียภาษี
1.1 ป้ายที่ต้องเสียภาษีป้าย ได้แก่ ป้ายแสดงชื่อ ยี่ห้อ หรือเครื่องหมายที่ใช้ในการประกอบการค้า หรือ
ประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้ ไม่ว่าจะแสดง หรือโฆษณาไว้ที่วัตถุใด ๆ ด้วยอักษร ภาพ หรือเครื่องหมาย ที่เขียน
แกะสลัก จารึก หรือทำให้ปรากฏด้วยวิธีใด ๆ
1.2 ไม่เป็นป้ายที่ได้รับการยกเว้นภาษีป้าย
2. ป้ายที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้าย ได้แก่
2.1 ป้ายที่แสดงไว้ ณ โรงมหรสพ และบริเวณของโรงมหรสพนั้น เพื่อโฆษณามหรสพ
2.2 ป้ายที่แสดงไว้ที่สินค้า หรือที่สิ่งห่อหุ้มหรือบรรจุสินค้า
2.3 ป้ายที่แสดงไว้ในบริเวณงานที่จัดขึ้นเป็นครั้งคราว
2.4 ป้ายที่แสดงไว้ที่คนหรือสัตว์
2.5 ป้ายที่แสดงไว้ภายในอาคารที่ใช้ประกอบการค้า หรือประกอบกิจการอื่นหรือภายในอาคารซึ่งเป็น
ที่รโหฐาน ทั้งนี้เพื่อหารายได้ และแต่ละป้ายมีพื้นที่ไม่เกินที่กำหนดในกฎกระทรวง (กฎกระทรวง ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2542)
กำหนดว่าต้องเป็นป้ายที่มีพื้นที่ไม่เกินสามตารางเมตร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2542) แต่ไม่รวมถึงป้าย
ตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์
2.6 ป้ายของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค หรือราชการส่วนท้องถิ่น ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบ
บริหารราชการแผ่นดิน
2.7 ป้ายขององค์การที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล หรือตามกฎหมาย
ว่าด้วยการนั้นๆ และหน่วยงานที่นำรายได้ส่งรัฐ
2.8 ป้ายของธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและ
สหกรณ์ และบริษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
2.9 ป้ายของโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน หรือสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่แสดงไว้ ณ
อาคารหรือบริเวณของโรงเรียนเอกชน หรือสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น
2.10 ป้ายของผู้ประกอบการเกษตร ซึ่งค้าผลผลิตอันเกิดจากการเกษตรของตน
2.11 ป้ายของวัด หรือผู้ดำเนินกิจการเพื่อประโยชน์แก่การศาสนา หรือการกุศลสาธารณะโดยเฉพาะ
2.12 ป้ายของสมาคมหรือมูลนิธิ
2.13 ป้ายที่กำหนดในกฎกระทรวง
กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 กำหนดป้ายที่ได้รับ
การยกเว้นภาษีป้ายคือ
(1) ป้ายที่แสดงหรือติดตั้งไว้ที่รถยนตร์ส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ รถบดถนน หรือรถแทรกเตอร์
(2) ป้ายที่ติดตั้งหรือแสดงไว้ที่ล้อเลื่อน
(3) ป้ายที่ติดตั้งหรือแสดงไว้ที่ยานพาหนะนอกเหนือจาก (1) และ (2) โดยมีพื้นที่ไม่เกินห้าร้อยตาราง
เซนติเมตร
3. ผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้าย
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้าย ได้แก่
3.1 เจ้าของป้าย
-2-
3.2 ในกรณีที่ไม่มีผู้อื่นยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย หรือเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่อาจหาตัวเจ้าของป้ายนั้น
ได้ให้ถือว่าผู้ครอบครองป้ายนั้นเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้าย ถ้าไม่อาจหาตัวผู้ครอบครองป้ายนั้นได้ให้ถือว่าเจ้าของหรือ
ผู้ครอบครองอาคารหรือที่ดินที่ป้ายนั้นติดตั้งหรือแสดงอยู่เป็นผู้มีหน้าที่เสีย ภาษีป้ายตามลำดับ
4. ระยะเวลาการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีป้าย
4.1 เจ้าของป้ายที่มีหน้าที่เสียภาษีป้ายต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภป.) ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี
4.2 ในกรณีที่ติดตั้งหรือแสดงป้ายภายหลังเดือนมีนาคมหรือติดตั้งหรือแสดงป้ายใหม่แทนป้ายเดิม หรือ
เปลี่ยนแปลงแก้ไขป้ายอันเป็นเหตุให้ต้องเสียภาษีป้ายเพิ่มขึ้น ให้เจ้าของป้ายยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายภายใน 15 วัน
นับแต่วันติดตั้งหรือแสดงป้าย หรือนับแต่วันเปลี่ยนแปลงแก้ไขแล้วแต่กรณี
5. การคำนวณพื้นที่ป้าย อัตราค่าภาษีป้าย และการคำนวณภาษีป้าย
5.1 การคำนวณพื้นที่ป้าย
5.1.1 ป้ายที่มีขอบเขตกำหนดได้
ส่วนกว้างที่สุด X ส่วนยาวที่สุดของขอบเขตป้าย
5.1.2 ป้ายที่ไม่มีขอบเขตกำหนดได้
ถือตัวอักษร ภาพ หรือเครื่องหมายที่อยู่ริมสุดเป็นขอบเขตเพื่อกำหนด ส่วนกว้างที่สุด
ยาวที่สุด แล้วคำนวณตาม 5.1.1
5.1.3 คำนวณพื้นที่เป็นตารางเซนติเมตร
5.2 อัตราภาษีป้าย แบ่งเป็น 3 อัตรา ดังนี้
อัตราภาษีป้าย (ต่อ 500 ตารางเซนติเมตร)
ลักษณะ บาท
1) อักษรไทยล้วน
2) อักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศ/ภาพ/เครื่องหมายอื่น
3) ป้ายดังต่อไปนี้
ก. ไม่มีอักษรไทย
ข. อักษรไทยบางส่วนหรือทั้งหมดอยู่ใต้ หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ
4) ป้ายที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขพื้นที่ป้าย ข้อความ ภาพ หรือเครื่องหมายบางส่วนในป้ายได้เสีย
ภาษีป้ายแล้วอันเป็นเหตุให้ต้องเสียภาษีป้ายเพิ่มขึ้น ให้คิดอัตรา ตาม 1) 2) หรือ 3)
แล้วแต่กรณี และให้เสียเฉพาะเงินภาษีที่เพิ่มขึ้น
5) ป้ายใดเสียต่ำกว่า 200 บาท ให้เสีย 200 บาท
3
20
40
5.3 การคำนวณภาษีป้าย ให้คำนวณโดยนำพื้นที่ป้ายคูณด้วยอัตราภาษีป้าย เช่น ป้ายที่ต้องเสียภาษี
มีพื้นที่ 10,000 ตารางเซนติเมตร เป็นป้ายประเภทที่ 2 ป้ายนี้เสียภาษี ดังนี้
10,000 หาร 500 คูณ 20 เท่ากับ 400 บาท (10,000/500 X 20 = 400)
6. หลักฐานที่ใช้ประกอบการเสียภาษีป้าย
เพื่อความสะดวกในการเสียภาษี ควรแนะนำผู้มีหน้าที่เสียภาษีนำหลักฐานประกอบการยื่นแบบแสดงรายการ
เพื่อเสียภาษี (ภป.1) เท่าที่จำเป็นเพียงเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีเท่านั้น
-3-
6.1 กรณีป้ายที่ติดตั้งใหม่ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายที่ติดตั้งใหม่ ได้แก่
1) บัตรประจำตัวประชาชน
2) สำเนาทะเบียนบ้าน
3) ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
4) หนังสือรับรองหุ้นส่วนบริษัท
5) ใบอนุญาตติดตั้งป้ายหรือใบเสร็จรับเงินจากร้านทำป้าย
6.2 กรณีป้ายรายเก่า ผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายที่เคยยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีป้ายไว้แล้ว ควรนำ
ใบเสร็จรับเงินค่าภาษีป้ายครั้งก่อนมาแสดงด้วย
7. ขั้นตอนการชำระภาษี
7.1 ผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีป้ายยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภป.1) พร้อมด้วยหลักฐาน
7.2 พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการเป็น 2 กรณี ดังนี้
1) กรณีที่ผู้เสียภาษีป้ายประสงค์จะชำระภาษีป้ายในวันยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีป้าย ถ้าพนักงาน
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและประเมินภาษีป้ายได้ทันทีให้แจ้งผู้เสียภาษีป้ายว่าจะต้องเสียภาษีเป็นจำนวนเท่าใด
2) กรณีผู้เสียภาษีป้ายไม่พร้อมจะชำระภาษีในวันยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย พนักงานเจ้าหน้าที่จะมี
หนังสือแจ้งการประเมิน (ภป.3) แจ้งจำนวนเงินภาษีที่จะต้องชำระแก่ผู้เสียภาษี
7.3 ผู้เสียภาษีต้องมาชำระเงินค่าภาษีป้ายภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมินมิฉะนั้นจะต้องเสีย
เงินเพิ่ม
7.4 การชำระภาษีป้าย
- เจ้าของป้ายมีหน้าที่ชำระภาษีป้ายเป็นรายปี ยกเว้นป้ายที่แสดงปีแรก
(1) ระยะเวลา ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน
(2) สถานที่ชำระภาษี
- สถานที่ที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายไว้
- หรือสถานที่อื่นที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
(3) การชำระภาษีวิธีอื่น
- ธนาณัติ หรือตั๋วแลกเงินของธนาคารสั่งจ่ายส่วนท้องถิ่น
- ส่งโดยไปรษณีย์ลงทะเบียน
- ส่งไปยังสถานที่ตาม (2)
(4) การผ่อนชำระหนี้
1. ภาษีป้าย 3,000 บาทขึ้นไป
2. ผ่อนชำระเป็น 3 งวดเท่า ๆ กัน
3. แจ้งความจำนงเป็นหนังสือก่อนครบกำหนดเวลาชำระหนี้
- ป้ายติดตั้งปีแรก
- คิดภาษีป้ายเป็นรายงวด
- งวดละ 3 เดือน
- เริ่มเสียตั้งแต่งวดที่ติดตั้ง จนถึงงวดสุดท้ายของปี
งวด 1 มกราคม - มีนาคม = 100 %
งวด 2 เมษายน - มิถุนายน = 75 %
งวด 3 กรกฎาคม - กันยายน = 50 %
งวด 4 ตุลาคม - ธันวาคม = 25 %
-4-
8. เงินเพิ่ม
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายจะต้องเสียเงินเพิ่มในกรณีและอัตราดังต่อไปนี้
8.1 ไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายภายในเวลาที่กำหนด ให้เสียเงินเพิ่มร้อยละสิบของค่าภาษีป้ายเว้นแต่
กรณีที่เจ้าของป้ายได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายก่อนที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะได้แจ้งให้ทราบถึงการละเว้นนั้น ให้เสียเงิน
เพิ่มร้อยละห้าของค่าภาษีป้าย
8.2 ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายโดยไม่ถูกต้อง ทำให้จำนวนเงินที่จะต้องเสียภาษีป้ายลดน้อยลงให้เสียเงิน
เพิ่มร้อยละสิบของค่าภาษีป้ายที่ประเมินเพิ่มเติม เว้นแต่กรณีที่เจ้าของป้ายได้มาขอแก้ไขแบบแสดงรายการภาษีป้ายให้
ถูกต้องก่อนที่พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งการประเมิน
8.3 ไม่ชำระภาษีป้ายภายในเวลาที่กำหนด ให้เสียเงินเพิ่มร้อยละสองต่อเดือนของค่าภาษีป้าย เศษของเดือน
ให้นับเป็นหนึ่งเดือน ทั้งนี้ไม่ให้นำเงินเพิ่มตาม 8.1 และ 8.2 มาคำนวณเป็นเงินเพิ่มตามข้อนี้ด้วย
9. บทกำหนดโทษ
9.1 ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐาน
เท็จมาแสดงเพื่อหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีป้าย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับตั้งแต่ 5,000
บาท ถึง 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
9.2 ผู้ใดจงใจไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 5,000 บาท - 50,000 บาท
9.3 ผู้ใดไม่แจ้งการรับโอนป้ายหรือไม่แสดงรายการเสียภาษีป้ายไว้ ณ ที่เปิดเผยในสถานที่ประกอบกิจการ
ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 10,000 บาท
9.4 ผู้ใดขัดขวางการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งให้
มาให้ถ้อยคำหรือให้ส่งบัญขีหรือเอกสารเกี่ยวกับป้ายมาตรวจสอบภายในกำหนดเวลาอันสมควร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
6 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
10. การอุทธรณ์การประเมิน
เมื่อผู้เสียภาษีได้รับแจ้งการประเมิน (ภป.3) แล้วเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูกต้อง มีสิทธิอุทธรณ์การประเมิน
ต่อผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้ได้รับมอบหมาย โดยต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน
ผู้อุทธรณ์มีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บริหารท้องถิ่นต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันรับแจ้งคำวินิจฉัย
อุทธรณ์
11. การขอคืนเงินภาษีป้าย
ผู้เสียภาษีป้ายโดยไม่มีหน้าที่ต้องเสียหรือเสียเกินกว่าที่ควรจะต้องเสีย ผู้นั้นมีสิทธิขอรับเงินคืนได้โดยยื่นคำร้อง
ขอคืนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่เสียภาษีป้าย
------------

พ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่

ภาษีบำรุงท้องที่
-------------------
การจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่
ภาษีบำรุงท้องที่ หมายถึง ภาษีที่จัดเก็บจากเจ้าของที่ดิน ตามราคาปานกลางที่ดินและตามบัญชีอัตราภาษีบำรุงท้องที่
ที่ดินที่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ ได้แก่ ที่ดินที่เป็นของบุคคลหรือคณะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งมีกรรมสิทธิในที่ดิน หรือสิทธิครอบครองอยู่ในที่ดินที่ไม่เป็นกรรมสิทธิของเอกชน ที่ดินที่ต้อง
เสียภาษีบำรุงท้องที่ ได้แก่ พื้นที่ดิน และพื้นที่ที่เป็นภูเขาหรือที่มีน้ำด้วย โดยไม่เป็นที่ดินที่เจ้าของที่ดินได้รับการยกเว้นภาษีหรืออยู่ในเกณฑ์ลดหย่อน
ที่ดินที่เจ้าของที่ดินไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ ได้แก่
1. ที่ดินที่เป็นที่ตั้งพระราชวังอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
2. ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือที่ดินของรัฐที่ใช้ในกิจการของรัฐหรือสาธารณะโดยมิได้หาผลประโยชน์
3. ที่ดินของราชการส่วนท้องถิ่นที่ใช้ในกิจการของราชการส่วนท้องถิ่นหรือสาธารณะโดยมิได้หาผลประโยชน์
4. ที่ดินที่ใช้เฉพาะการพยาบาลสาธารณะ การศึกษา หรือกุศลสาธารณะ
5. ที่ดินที่ใช้เฉพาะศาสนกิจศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดไม่ว่าจะใช้ประกอบศาสนกิจศาสนา
ใดศาสนาหนึ่ง หรือที่ศาลเจ้าโดยมิได้หาผลประโยชน์
6. ที่ดินที่ใช้เป็นสุสาน หรือฌาปนสถานสาธารณะโดยมิได้รับประโยชน์ตอบแทน
7. ที่ดินที่ใช้ในการรถไฟ การประปา การไฟฟ้า หรือการท่าเรือของรัฐ หรือใช้เป็นสนามบินของรัฐ
8. ที่ดินที่ใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือน ที่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินแล้ว
9. ที่ดินของเอกชนเฉพาะส่วนที่เจ้าของที่ดินยินยอมให้ทางราชการใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์
10. ที่ดินที่ตั้งขององค์การสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติหรือองค์การระหว่างประเทศอื่น
ในเมื่อประเทศไทยมีข้อผูกพันให้ยกเว้นตามอนุสัญญาหรือความตกลง
11. ที่ดินที่เป็นที่ตั้งของสถานฑูตหรือสถานกงศุล ทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกัน
12. ที่ดินตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่
ผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินในวันที่ 1 มกราคมของปีใด มีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปีนั้น
กำหนดระยะเวลาการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษี
ให้เจ้าของที่ดินซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่ยื่นแบบแสดงรายการที่ดิน (ภบท.5) ณ สำนักงานขององค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ภายในเดือนมกราคมของปีแรกที่มีการตีราคาปานกลางของที่ดิน
แบบแสดงรายการที่ได้ยื่นไว้นั้นใช้ได้ทุกปีในรอบระยะเวลา 4 ปีนั้น
อัตราภาษีและการคำนวณภาษี
อัตราภาษี
1. อัตราภาษีบำรุงท้องที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ แบ่งเป็น 34 อัตรา
2. ราคาปานกลางที่ดินเกินไร่ละ 30,000 บาทให้เสียภาษีดังนี้ราคาปานกลางของที่ดิน 30,000 บาทแรก เสีย
ภาษี 70 บาท
3. ส่วนที่เกิน 30,000 บาท เสียภาษี 10,000 บาท ต่อ 25 บาท
-2-
4. ประกอบกสิกรรม ประเภทไม้ล้มลุก
- เสียกึ่งอัตรา
- ด้วยตนเอง ไม่เกินไร่ละ 5 บาท
- ที่ดินว่างเปล่า เสียเพิ่ม 1 เท่า
การคำนวณภาษี
ภาษีบำรุงท้องที่ คำนวณจากราคาปานกลางของที่ดินที่คณะกรรมการตีราคาปานกลางที่ดินที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้ใน
การจัดเก็บภาษีคูณกับอัตราภาษี
เนื้อที่ดินเพื่อคำนวณภาษี (ไร่) = เนื้อที่ถือครอง - เนื้อที่เกณฑ์ลดหย่อน
ค่าภาษีต่อไร่ = ตามบัญชีอัตราภาษีฯ ท้าย พ.ร.บ.ฯ
หลักฐานที่ใช้ประกอบในการเสียภาษี
1. บัตรประจำตัวประชาชน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. หนังสือรับรองห้างหุ้นส่วนบริษัท
4. หลักฐานที่แสดงถึงการเป็นเจ้าของที่ดิน เช่น โฉนดที่ดิน น.ส.3
5. ใบเสร็จรับเงินค่าภาษีครั้งสุดท้าย (ถ้ามี)
6. หนังสือมอบอำนาจกรณีที่ให้ผู้อื่นมาทำการแทน
กรณีที่เป็นการเสียภาษีในปีที่ไม่ใช่ปีที่ยื่นแบบ ภบท. 5 ให้นำ ภบท.5 ท่อนที่มอบให้เจ้าของที่ดิน หรือ
ใบเสร็จรับเงินค่าภาษีครั้งสุดท้ายมาด้วย
ขั้นตอนในการติดต่อขอชำระภาษี
1. การยื่นแบบแสดงรายการที่ดิน กรณีผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินในวันที่ 1 มกราคม ของปีที่มีการตีราคาปานกลางที่ดิน
1) ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือเจ้าของที่ดินยื่นแบบแสดงรายการที่ดิน (ภบท.5) พร้อมด้วยหลักฐานที่ต้องใช้ต่อ
เจ้าหน้าที่พนักงานประเมินภายในเดือนมกราคมของปีที่มีการประเมินราคาปานกลางของที่ดิน
2) เจ้าพนักงานประเมินจะทำการตรวจสอบและคำนวณค่าภาษีแล้วแจ้งการประเมิน (ภบท.9หรือ ภบท.10) ให้
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือเจ้าของที่ดินทราบว่าจะต้องเสียภาษีเป็นจำนวนเงินเท่าใดภายในเดือนมีนาคม
3) ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือเจ้าของที่ดินจะต้องเสียภาษีภายในเดือนเมษายนของทุกปี เว้นแต่กรณีได้รับใบแจ้ง
การประเมินหลังเดือนมีนาคม ต้องชำระภาษีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน
2. การยื่นแบบแสดงรายการที่ดิน กรณีเป็นเจ้าของที่ดินรายใหม่หรือจำนวนเนื้อที่ดินเดิมเปลี่ยนแปลงไป
1) เจ้าของที่ดินที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนเนื้อที่ดินหรือเป็นผู้ได้รับโอนที่ดินขึ้นใหม่ ต้องมายื่นแบบแสดง
รายการที่ดินหรือยื่นคำร้องขอเปลี่ยนแปลงจำนวนเนื้อที่ดินต่อเจ้าพนักงานประเมินภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันได้รับ
โอนหรือมีการเปลี่ยนแปลงโดยใช้แบบ ภบท.5 หรือ ภบท.8 แล้วแต่กรณี
2) เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับแบบแล้ว จะออกใบรับไว้ให้เป็นหลักฐาน
3) เจ้าหนักงานประเมินจะแจ้งให้เจ้าของที่ดินทราบว่าจะต้องเสียภาษีในปีต่อไปจำนวนเท่าใด
3. การยื่นแบบแสดงรายการที่ดินกรณีเปลี่ยนแปลงการใข้ที่ดินอันเป็นเหตุให้การลดหย่อนเปลี่ยนแปลงไป หรือมีเหตุ
อย่างอื่นทำให้อัตราภาษีบำรุงท้องที่เปลี่ยนแปลงไป
1) เจ้าของที่ดินยื่นคำร้องตามแบบ ภบท.8 พร้อมด้วยหลักฐานที่ต้องใข้ต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 30 วัน
นับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน
2) เจ้าพนักงานประเมินจะออกใบรับให้
3) เจ้าพนักงานประเมินจะแจ้งให้เจ้าของที่ดินทราบว่าจะต้องเสียภาษีในปีต่อไปจำนวนเท่าใด
4) การขอชำระภาษีบำรุงท้องที่ในปีถัดไปจากปีที่มีการประเมินราคาปานกลางาของที่ดินให้
ผู้รับประเมินนำใบเสร็จรับเงินของปีก่อนพร้อมกับเงินไปชำระภายในเดือนเมษายนของทุกปี
-3-
เงินเพิ่ม
เจ้าของที่ดินผู้มีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่ต้องเสียเงินเพิ่มในกรณีและอัตราดังต่อไปนี้
1. ไม่ยื่นแบบแสดงรายการที่ดินภายในเวลาที่กำหนด ให้เสียเงินเพิ่มร้อยละ 10 ของค่าภาษีบำรุงท้องที่เว้นแต่
กรณีที่เจ้าของที่ดินได้ยื่นแบบแสดงรายการที่ดินก่อนที่เจ้าพนักงานประเมินจะได้แจ้งให้ทราบถึงการละเว้นนั้น ให้เสียเงิน
เพิ่มร้อยละ 5 ของค่าภาษีบำรุงท้องที่
2. ยื่นแบบแสดงรายการที่ดินโดยไม่ถูกต้องทำให้จำนวนเงินที่จะต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ลดน้อยลง ให้เสียเงินเพิ่ม
ร้อยละ 10 ของค่าภาษีบำรุงท้องที่ที่ประเมินเพิ่มเติม เว้นแต่กรณีเจ้าของที่ดินได้มาขอแก้ไขแบบแสดงรายการที่ดินให้
ถูกต้องก่อนที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมิน
3. ชี้เขตแจ้งจำนวนเนื้อที่ดินไม่ถูกต้องต่อเจ้าพนักงานสำรวจ โดยทำให้จำนวนเงินที่จะต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ลด
น้อยลงให้เสียเงินเพิ่มอีก 1 เท่า ของภาษีบำรุงท้องที่ที่ประเมินเพิ่มเติม
4. ไม่ชำระภาษีบำรุงท้องที่ภายในเวลาที่กำหนด ให้เสียเงินเพิ่มร้อยละ 24 ต่อปีของจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีบำรุง
ท้องที่ เศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือน และไม่นำเงินเพิ่มตาม ข้อ 1 - ข้อ 4 มารวมคำนวณด้วย
บทกำหนดโทษ
1. ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมา
แสดงเพื่อหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีบำรุงท้องที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000
บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. ผู้ใดจงใจไม่มาหรือยอมชี้เขต หรือไม่ยอมแจ้งจำนวนเนื้อที่ดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่
เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. ผู้ใดขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการสำรวจเนื้อที่ดิน หรือปฏิบัติหน้าที่เพื่อการเร่งรัดภาษีบำรุงท้องที่ค้างชำระ
หรือขัดขวางเจ้าพนักงานประเมินในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000
บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพน้กงานซึ่งสั่งให้มาให้ถ้อยคำหรือส่งบัญชีหรือเอกสารมาตรวจสอบ หรือสั่งให้
ปฏิบัติการเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการเร่งรัดภาษีบำรุงท้องที่ค้างชำระ หรือไม่มาให้ถ้อยคำ หรือไม่ส่งเอกสารอันควรแก่
เรื่องมาแสดงตามหนังสือเรียก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การลดหย่อน/การยกเว้น/การลดภาษี
การลดหย่อนภาษี มาตรา 22
บุคคลธรรมดาซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงเดียวกันหรือหลายแปลงที่อยู่ในจังหวัดเดียวกัน และใช้ที่ดินนั้นเป็นที่อยู่
อาศัยของตน หรือประกอบกสิกรรมของตน ให้ลดหย่อนไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
(1) เขตองค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้ลดหย่อน 3 - 5 ไร่
(2) เขตเทศบาลตำบลหรือเขตสุขาภิบาล ให้ลดหย่อน 200 - 400 ตารางวา
(3) เขตเทศบาลอื่นนอกจากเขตเทศบาลตำบลและเขตเมืองพัทยา ให้ลดหย่อน 50 - 100 ตารางวา
(4) ที่ดินในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ลดหย่อน ดังต่อไปนี้
- ท้องที่ที่มีชุมชนหนาแน่นมาก ให้ลดหย่อน 50 - 100 ตารางวา
- ท้องที่ที่มีชุมชนหนาแน่นปานกลาง ให้ลดหย่อน 100 ตารางวา - 1 ไร่
- ท้องที่ชนบท ให้ลดหย่อน 3 - 5 ไร่
บุคคลธรรมดาหลายคนเป็นเจ้าของที่ดินร่วมกัน ให้ได้รับลดหย่อนรวมกัน ตามหลักเกณฑ์ข้างต้น
การลดหย่อนให้ลดหย่อนสำหรับที่ดินในจังหวัดเดียวกัน
-4-
การยกเว้น การลดภาษี มาตรา 23
1. ปีที่ล่วงมาที่ดินที่ใช้เพาะปลูกเสียหายมากผิดปกติ หรือ
2. เพาะปลูกไม่ได้ด้วยเหตุพ้นวิสัย
3. ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจยกเว้น หรือลดภาษีได้ตามระเบียบที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด
การอุทธรณ์ การฟ้องศาล
ถ้าเจ้าของที่ดินไม่เห็นพ้องด้วยกับราคาปานกลางที่ดิน หรือเมื่อได้รับแจ้งการประเมินภาษีบำรุงท้องที่แล้ว เห็นว่า
การประเมินน้นไม่ถูกต้องมีสิทธิอุทธรณ์ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้ โดยยื่นอุทธรณ์ผ่านเจ้าพนักงาน
ประเมินภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ประกาศราคาปานกลางของที่ดินหรือวันที่ได้รับการแจ้งประเมินแล้วแต่กรณี
การอุทธรณ์ไม่เป็นการทุเลาการเสียภาษีบำรุงท้องที่ เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดให้
ขอคำวินิจฉัยอุทธรณ์หรือคำพิพากษาของศาล
ผู้อุทธรณ์มีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้ว่าราชการจังหวัดต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำแจ้ง
วินิจฉัยอุทธรณ์
การขอคืนภาษีบำรุงท้องที่
ผู้ที่เสียภาษีบำรุงท้องที่โดยไม่มีหน้าที่ต้องเสียหรือเสียเกินกว่าที่ควรจะต้องเสียผู้นั้นมีสิทธิ
ขอรับเงินคืนภายใน 1 ปีได้โดยยื่นคำร้องขอคืนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่เสียภาษีบำรุงท้องที่
--------------------
บัญชีอัตราภาษีบำรุงท้องที่
ตามมาตรา 7
ชั้น ราคาปานกลางของที่ดิน ภาษีไร่ละ หมายเหตุ
บาท สต.
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
ไม่เกินไร่ละ 200 บาท
เกินไร่ละ 200 บาท ถึงไร่ละ 400 บาท
เกินไร่ละ 400 บาท ถึงไร่ละ 600 บาท
เกินไร่ละ 600 บาท ถึงไร่ละ 800 บาท
เกินไร่ละ 800 บาท ถึงไร่ละ 1,000 บาท
เกินไร่ละ 1,000 บาท ถึงไร่ละ 1,200 บาท
เกินไร่ละ 1,200 บาท ถึงไร่ละ 1,400 บาท
เกินไร่ละ 1,400 บาท ถึงไร่ละ 1,600 บาท
เกินไร่ละ 1,600 บาท ถึงไร่ละ 1,800 บาท
เกินไร่ละ 1,800 บาท ถึงไร่ละ 2,000 บาท
เกินไร่ละ 2,000 บาท ถึงไร่ละ 2,200 บาท
เกินไร่ละ 2,200 บาท ถึงไร่ละ 2,400 บาท
เกินไร่ละ 2,400 บาท ถึงไร่ละ 2,600 บาท
เกินไร่ละ 2,600 บาท ถึงไร่ละ 2,800 บาท
เกินไร่ละ 2,800 บาท ถึงไร่ละ 3,000 บาท
เกินไร่ละ 3,000 บาท ถึงไร่ละ 3,500 บาท
เกินไร่ละ 3,500 บาท ถึงไร่ละ 4,000 บาท
เกินไร่ละ 4,000 บาท ถึงไร่ละ 4,500 บาท
เกินไร่ละ 4,500 บาท ถึงไร่ละ 5,000 บาท
เกินไร่ละ 5,000 บาท ถึงไร่ละ 5,500 บาท
เกินไร่ละ 5,500 บาท ถึงไร่ละ 6,000 บาท
เกินไร่ละ 6,000 บาท ถึงไร่ละ 6,500 บาท
เกินไร่ละ 6,500 บาท ถึงไร่ละ 7,000 บาท
เกินไร่ละ 7,000 บาท ถึงไร่ละ 7,500 บาท
เกินไร่ละ 7,500 บาท ถึงไร่ละ 8,000 บาท
เกินไร่ละ 8,000 บาท ถึงไร่ละ 8,500 บาท
เกินไร่ละ 8,500 บาท ถึงไร่ละ 9,000 บาท
-
1
2
3
4
5
7
8
9
10
11
12
13
14
15
17
30
22
25
27
30
32
35
37
40
42
45
50
-
-
-
-
50
-
-
-
-
-
-
-
-
-
50
-
50
-
50
-
50
-
50
-
50
-
(1) ที่ดินที่ใช้ประกอบ
การกสิกรรมเฉพาะประเภท
ไม้ล้มลุก ให้เสียกึ่งอัตรา แต่
ถ้าเจ้าของที่ดินประกอบการ
กสิกรรมประเภทไม้ล้มลุกนั้น
ด้วยตนเองให้เสียอย่างสูงไม่
เกินไร่ละ
5 บาท
(2) ที่ดินที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือ
ไม่ได้ทำประโยชน์
ตามควรแก่สภาพของที่ดิน
ให้เสียเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่า
- 6 -
ชั้น ราคาปานกลางของที่ดิน ภาษีไร่ละ หมายเหตุ
บาท สต.
28
29
30
31
32
33
(11*)
34
เกินไร่ละ 9,000 บาท ถึงไร่ละ 9,500 บาท
เกินไร่ละ 9,500 บาท ถึงไร่ละ 10,000 บาท
เกินไร่ละ 10,000 บาท ถึงไร่ละ 15,000 บาท
เกินไร่ละ 15,000 บาท ถึงไร่ละ 20,000 บาท
เกินไร่ละ 20,000 บาท ถึงไร่ละ 25,000 บาท
เกินไร่ละ 25,000 บาท ถึงไร่ละ 30,000 บาท
เกินไร่ละ 30,000 บาท ให้เสียภาษีไร่ละ ดังต่อไปนี้
(1) สำหรับราคาปานกลางของที่ดิน 30,000 บาท แรก
ให้เสียภาษี 70 บาท
(2) สำหรับราคาปานกลางของที่ดินส่วนที่เกิน 30,000
บาท ให้เสียทุกๆ 10,000 บาท ต่อ 25 บาทเศษของ
10,000 บาท ถ้าถึง 5,000 บาท ให้ถือเป็น 10,000 บาท
ถ้าไม่ถึง 5,000 บาท ให้ปัดทิ้ง"
47
50
55
60
65
70
50
-
-
-
-
-
หมายเหตุ
(1) ที่ดินที่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่
(ก) เศษของไรให้คิดในอัตราลดลงตามส่วน
(ข) เศษของหนึ่งตารางวาให้ปัดทิ้ง
(2) เมื่อคำนวณภาษีแล้ว เศษของ 10 สตางค์ ให้ปัดทิ้ง

ความรู้เรื่องระเบียบงานวิจัยทางรัฐศาสตร์

ระเบียบวิธีวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์ (Research Methods in Pub. Admin.)
แนวทางในการแสวหาความรู้ (Approaches to knowledge)
การพึ่งพาผู้ที่มีอำนาจ (Authoritarian Mode )
การพึ่งพาอำนาจลี้ลับ (Mystical Mode)
การใช้หลักแห่งเหตุผล (Rationalistic Mode) Syllogistic method Aristotelian deduction
การใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Mode)

วิธีการทางวิทยาศาสตร์
1. มีปัญหาเกิดขึ้นและเราต้องการคำตอบ
2. นิยามปัญหา หรือกำหนดขอบเขตปัญหาให้ชัดเจน
3. ตั้งสมมุติฐาน
4. กำหนดวิธีการทดสอบสมมุติฐาน
5. เก็บรวบรวมข้อมูลและนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อทดสอบสมมุติฐาน

Francis Bacon (1600 A.D) Inductive method
• วิทยาศาสตร์ (science) ต้องมีลักษณะเป็น logico-empirical
คือข้อสรุปต้องเป็นเหตุผลเชื่อมโยงกับข้อมูลที่เราสังเกต และข้อมูลต้องเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ (empirical data)
Research process is a current paradigm in scientific inquiry.
• Paradigm หมายถึงกระบวนทัศน์ หรือ กรอบการมอง หรือกรอบการวิเคราะห์ที่ชุมชนทางวิชาการในสาขาใดสาขาหนึ่ง ในขณะใดขณะหนึ่งยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
• Thomas Kuhn เป็นผู้ใช้คำนี้ในงานเขียนของเขาชื่อ Scientific Revolution
• new paradigm, competing paradigm, double paradigm,
• no commonly agreed paradigm, no paradigm etc.

ขั้นตอนต่าง ๆในกระบวนการวิจัย
• 1. ปัญหาที่นำไปสู่การวิจัย (Problem)
• 2. การตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis)
• 3. การออกแบบการวิจัย (Research Design)
• 4. การวัด (Measurement)
• 5. การรวบรวมข้อมูล (Data Collection)
• 6. การวิเคราะห์ (Data Analysis)
• 7. การสรุปผล (Generalization)


การวิจัยคืออะไร
- เป็นการแสวงหาคำตอบสำหรับสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นระบบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อประโยชน์ในการอธิบาย และการทำนาย
- การวิจัยทำให้เกิดการพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่อง
- การวิจัยเป็นพื้นฐานของการพัฒนาประเทศ
- การวิจัยทำให้เราค้นพบสิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา
ประเภทของการวิจัย
1. แยกตามการเอาผลงานวิจัยไปใช้
- การวิจัยพื้นฐาน (basic research)
- การวิจัยประยุกต์ (applied research)
2. แยกตามประเภทของข้อมูลที่ใช้ในการวิจัย
- การวิจัยเชิงสำรวจ (survey research)
- การวิจัยเอกสาร (documentary research)
3. แยกตามวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
- การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research)
- การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research)
4. แยกตามการออกแบบการวิจัย
- การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental research)
- การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (Historical research)
- การวิจัยเชิงอนาคต (Future research)
ขั้นตอนต่าง ๆในกระบวนการวิจัย
1. ปัญหาที่นำไปสู่การวิจัย (Problem)
2. การตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis)
3. การออกแบบการวิจัย (Research Design)
4. การวัด (Measurement)
5. การรวบรวมข้อมูล (Data Collection)
6. การวิเคราะห์ (Data Analysis)
7. การสรุปผล (Generalization)

การเลือกปัญหาการวิจัย
1. เรื่องที่เราสนใจ มีความสำคัญ และ มีประโยชน์
2. เรื่องที่เรามีความรู้ มองเห็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องชัดเจน
3. ไม่กว้าง หรือแคบเกินไป
4. กำหนดวิธีการวิจัยได้อย่างมีเหตุผล ทำสำเร็จได้ในเวลาอันควร
5. สำหรับวิทยานิพนธ์ หรือ การค้นคว้าอิสระ ต้องอยู่ในสาขา
6. ยังไม่เคยมีผู้ใดทำมาก่อน ถ้ามีก็จะต้องมีเหตุผลในการทำซ้ำ (เช่น ซ้ำแต่จำเป็น)

ข้อควรระวัง
1. เรื่องที่อ่อนไหว (i.e. เรื่องเกี่ยวกับสถาบัน พฤติกรรมทางเพศ)
2. เรื่องที่สามารถหาคำตอบได้โดยไม่ต้องทำการวิจัย (i.e. จราจรติดขัดบริเวณสี่แยก)
3. เรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบได้โดยการวิจัยเชิงประจักษ์ (i.e. นรก- สวรรค์มีจริงหรือ)

เริ่มเลือกปัญหาอย่างไร เริ่มตรงไหน
1. ห้องสมุด (computer search CD-ROM วิทยานิพนธ์ รายงานการวิจัย ฯลฯ)
2. สถานการณ์ที่กำลังเป็นที่สนใจ นโยบายสำคัญของรัฐบาล
3. ผู้เชี่ยวชาญ (อาจารย์ การประชุมสัมมนาทางวิชาการ นักบริหาร)
4. ประกาศเกี่ยวการให้ทุนการวิจัย วารสารทางวิชาการ หนังสือเวียนต่าง ๆ

ต.ย. เราสนใจปัญหาความยากจนของเกษตรกร
ประเด็นที่สนใจ เรื่องหนี้สินของเกษตรกร
แคบลงมาอีก เกษตรกรประเภทไหน (ชาวนา ชาวสวนลำใย หรือชาวไร่ยาสูบ ฯลฯ)
ชื่อเรื่อง : ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรชาวไร่ยาสูบในภาคเหนือตอนบน

ต.ย. เราสนใจปัญหาการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองท้องถิ่น
ประเด็นที่สนใจ ความพร้อมขององค์กรปกครองท้องถิ่น
แคบลงมาอีก องค์กรปกครองท้องถิ่นอะไร (เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล ฯลฯ)
ชื่อเรื่อง การประเมินความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการรองรับการกระจายอำนาจ : กรณีศึกษาเทศบาลนครเชียงใหม่

ชื่อเรื่อง :................................................
ปัญหาที่นำไปสู่การวิจัย (Statement of the Problem)
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...


วัตถุประสงค์ของการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
1. …………………………………………………...
2. …………………………………………………..
3. ………………………………….. ……………….
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย
1. …………………………………………………...
2. …………………………………………………..
3. ………………………………….. ……………….
ขอบเขตของการวิจัย
…………………………………………………………………..
……………………………………………………………………...
……………………………………………………………………...
……………………………………………………………………...
นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย
คำนิยาม (Definitions)
1. คำนิยามเชิงความคิด (Conceptual definition)
หมายถึงความพยายามในการนำเอาแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาอธิบายถ้อยคำที่ต้องการสื่อความหมายเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน เช่น
อำนาจ หมายถึงการที่บุคคลหนึ่งสามารถจะออกคำสั่งให้บุคคลอึกคนหนึ่งกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ผู้ออกคำสั่งต้องการได้ ซึ่งตามปกติบุคคลผู้รับคำสั่งจะไม่กระทำเช่นนั้น
ชนชั้นทางสังคม หมายถึงการจำแนกบุคคลในสังคมออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ บนพื้นฐานของลักษณะทางเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม ของสังคมนั้น ๆ
2. คำนิยามเชิงปฏิบัติการ (Operational definition)
หมายถึงความพยายามในการวัดคุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราต้องการสื่อความหมายออกมาอย่างเป็นรูปธรรม
ตัวอย่างเช่น
ชนชั้นทางสังคม (เราจะวัดอย่างไร)
ชั้นสูง ในการวิจัยนี้หมายถึง..…………………………………
ชั้นกลาง ในการวิจัยนี้หมายถึง …………………………………….
ชั้นต่ำ ในการวิจัยนี้หมายถึง ……………………………………
การให้คำนิยามในเชิงปฏิบัติการ (วัดได้) นี้เรียกว่า Operationaliza- tion คือเราจะ operationalize อย่างไร และในการวิจัยนั้นเราจะต้อง operationalize ตัวแปรสำคัญที่เรากำลังศึกษาเสมอ
ความแปลกแยก (Alienation) เราจะ operationalize อย่างไร
ความแปลกแยก
องค์ประกอบระดับแนวความคิด
1. ความรู้สึกว่าตนเองไม่มีอำนาจ (Powerlessness)
2. ความรู้สึกว่าไม่มีความหมายในชีวิต (Meaninglessness)
3. ความรู้สึกว่าไม่มีระเบียบกฏเกณฑ์ (Normlessness)
4. ความรู้สึกโดดเดี่ยว(Isolation)
5. ฯลฯ
องค์ประกอบระดับปฏิบัติการ
1. ความรู้สึกว่าตนเองไม่มีอำนาจ (Powerlessness) วัดอย่างไร……...
2. ความรู้สึกว่าไม่มีความหมายในชีวิต (Meaninglessness) วัดอย่างไร ….
3. ความรู้สึกว่าไม่มีระเบียบกฏเกณฑ์ (Normlessness) วัดอย่างไร …….
4. ความรู้สึกโดดเดี่ยว(Isolation) วัดอย่างไร …………………….
แต่ละองค์ประกอบจะต้องสร้างเป็นแบบสอบถามขึ้นมาเพื่อวัดองค์ประกอบเหล่านั้น

การทบทวนวรรณกรรม (Literature Review)
หมายถึงการตรวจสอบดูว่ามีการทำวิจัยในเรื่องที่ตรงหรือใกล้เคียงกับเรื่องที่เราสนใจจะทำวิจัยมาก่อนบ้างหรือไม่ ถ้ามีทำโดยใคร ทำในแง่มุมไหน และทำไว้ตั้งแต่เมื่อไร
เราควรจะอ่าน (Review) งานเหล่านั้น แล้วสรุปข้อค้นพบของงานวิจัยเหล่านั้นอย่างย่อ ๆ ไว้ในส่วนของการทบทวนวรรณกรรม
การทบทวนวรรณกรรมจะช่วยให้เราทราบทิศทางของการวิจัยและสถานภาพขององค์ความรู้ในเรื่องนั้น ๆ ในขณะที่เราทำวิจัย
ข้อสังเกต
การทบทวนวรรณกรรมนี้ผู้ทำวิจัยควรสรุปงานวิจัยที่ตนกำลังทบทวน (Review) ด้วยถ้อยคำของตนเอง (Rewrite) ไม่ควรตัดตอน หรือคัดลอกข้อความมาจากต้นฉบับทั้งดุ้น หรือคัดลอกการทบทวนวรรณกรรมของคนอื่นมาเป็นการทบทวนของตนเองซึ่งถือว่าเป็นการโขมยผลงานหรือความคิดของผู้อื่น (Plagiarism)
สมมุติฐาน ( Hypothesis)
สมมุติ + ฐาน
Hypo + thesis
ข้อความที่แสดงความเชื่อมโยงระหว่างตัวแปรตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปเพื่ออธิบายข้อเท็จจริง เงื่อนไข หรือพฤติกรรมที่ผู้วิจัยใช้เป็นกรอบในการวิจัย
หรืออึกนัยหนึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่นักวิจัยคาดเดาไว้ล่วงหน้า (Conjectures) ว่าควรจะเป็นไปในลักษณะใด
ลักษณะของสมมุติฐานที่ดี
1. ชัดเจน และวัดได้
2. ไม่ควรแสดค่านิยมอยู่ในข้อความ (i.e. ลูกควรมีความกตัญญูต่อพ่อแม่)
3. มึลักษณะเจาะจง ไม่กว้างจนเกินไป (i.e. ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว)
4. ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเป็นไปอย่างมีเหตุผล (logico-empirical)
5. ทดสอบได้ในเชิงประจักษ์
การวิจัยจำเป็นต้องมีสมมุติฐานเสมอไปหรือไม่
- ไม่จำเป็นต้องมีทุกกรณี
- Exploratory research
- Descriptive research
- Future research
- Ex-post facto hypothesis
ชนิดของสมมุติฐาน
1. สมมุติฐานการวิจัย (Research hypothesis) H1:
เป็นสมมุติฐานที่แสดงความแตกต่าง อาจจะกำหนดทิศทาง หรือไม่กำหนดทิศทางก็ได้
- เช่น น้ำหนักเฉลี่ยของเด็กในเมืองและเด็กในชนบทแตกต่างกัน (ไม่กำหนดทิศทาง)
- น้ำหนักเฉลี่ยของเด็กแรกเกิดในเมืองสูงกว่าของเด็กในชนบท (กำหนดทิศทาง)
2. สมมุติฐานทางสถิติ (Statistical hypothesis) Ho:เป็นสมมุติฐานที่ไม่แสดงความแตกต่าง กำหนดขึ้นเพื่อทำการทดสอบทางสถิติ บางครั้งเรียกว่า Null hypothesis
เราจะอาศัยหลักอะไรในการตั้งสมมุติฐาน
1. สามัญสำนึก
2. วัฒนธรรม ความเชื่อ ฯลฯ (i.e. ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ แสดงถึงอิทธิพลของการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ๆ)
3. ประสบการณ์
4. ทฤษฏี และตัวแบบต่าง ๆ
5. หลักเทียบเคียง (i.e to seek its own kind)

ตัวแปร (Variables)
ตัวแปร (Variables) คือสิ่งที่เราสนใจศึกษา เป็นสิ่งที่เราพยายามจะทำความเข้าใจถึงธรรมชาติของมัน และความสัมพันธ์ของมันกับตัวแปรตัวอื่น ๆ สมมุติฐานในการวิจัย คือการคาดคะเนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ที่เราคาดคะเนไว้ล่วงหน้านั่นเอง
ตัวแปรจะต้องแปรค่าได้ คือต้องมีค่าได้มากกว่าหนึ่งค่า ถ้ามีค่า
เดียวก็จะเป็นตัวคงที่ -A variable varies.
ชนิดของตัวแปร
1. ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) ได้แก่ตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อตัวแปรตัวอื่น เมื่อตัวแปรอิสระเปลี่ยนแปลงก็จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบนตัวอื่น
2. ตัวแปรตาม (Dependent Variable) ได้แก่ตัวแปรที่รับอิทธิพลจากตัวแปรตัวอื่น ตัวแปรนี้บางทีเรียกว่าตัวแปรพี่งพา ตัวแปรตามคือตัวแปรที่เราสนใจศึกษา
3.ตัวแปรแทรก (Intervening Variable) ได้แก่ตัวแปรที่แทรกอยู่ตรงกลางระหว่างตัวแปรอิสระ และตัวแปรตาม และอาจมีอิทธิพลต่อตัวแปรตาม
-ในการทดสอบความความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม ผู้วิจัยควรระลึกอยู่เสมอว่า ความเปลี่ยนแปลงบนตัวแปรตามอาจจะมิได้เป็นผลมาจากตัวแปรอิสระที่เราคิด แต่อาจจะมีตัวแปรตัวอื่นเข้ามาแทรกอยู่และเป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลที่แท้จริงต่อตัวแปรตาม ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามเป็นความสัมพันธ์ลวง (Spurious relationship) คือดูเหมือนมีความสัมพันธ์แต่ที่จริงไม่ใช่ (ต.ย. รสนิยมฟังเพลงกับเขตที่อยู่อาศัย อาจเป็น spurious relationship)

ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
การวิจัยเป็นการศึกษาความสัมพันะระหว่างตัวแปร และความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรจะช่วยให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น สามารถอธิบาย และทำนายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้
ต.ย. การใช้จ่ายเงินเกินตัว วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ

ลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
1. ความสัมพันธ์แบบสมมาตร (Symmetrical Relationship)
เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน แต่ไม่เป็นเหตุและเป็นผลแก่กันและกัน เช่นเก่งภาษาอังกฤษ และเก่งคณิตศาสตร์ ลำไยออกดอก และความยุ่งยากทางการเมือง จำนวนนกกระสา กับการอัตราเกิดของประชากร
2. ความสัมพันธ์แบบต่างตอบแทน (Reciprocal Relationship)
ต่างก็เป็นทั้งเหตุและผล ของกันและกัน เช่น เทอร์โมสตัท กับ อุณหภูมิ กำไร กับการเพิ่มทุน ไก่ กับ ไข่
3. ความสัมพันธ์แบบอสมมาตร (Asymmetrical Relationship)
เป็นความสัมพันธ์แบบ มีทิศทางเดียว (Unidirectional) คือ จากเหตไปสู่ ผล เช่น การเปลี่ยนแปลงระดับการศึกษา กับการเปลี่ยนแปลงรายได้ การศึกษาสูงขึ้นทำให้รายได้เพิ่มขึ้น
ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบอสมมาตร
1. ความสัมพันธ์จะเกิดขึ้นหมายความว่าตัวแปรทั้งสองต้องมีความแปรผันร่วมกัน (Covariation) เช่น การศึกษา กับ รายได้ ตัวแปรตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลงอึกตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลงด้วย
2. ทิศทางของความสัมพันธ์ (Direction)
2.1ทิศทางเดียวกัน หรือความสัมพันธ์เชิงบวก (positive relationship) ต.ย. การศึกษาสูงขึ้น
รายได้สูงขึ้น
2.2 ทิศทางตรงข้าม หรือความสัมพันธ์เชิงผกผัน (negative or inverse relationship) ต.ย. ดอกเบี้ย กับ ปริมาณ เงินกู้ของธนาคาร (ในภาวะปกติ)
3. ขนาดของความสัมพันธ์ (magnitude)
3.1 ความสัมพันธ์เต็มขนาด (Perfect relationship) หมายถึง ตัวแปรตัวหนึ่งอธิบายตัวแปรอีกตัวหนึ่งได้อย่างเต็มที่
3.2 ความสัมพันธ์บางส่วน (Partial relationship) หมายถึง ตัวแปรตัวอธิบายตัวแปรอีกตัวหนึ่งได้แต่เพียงบางส่วน
3.3 ไม่มีความสัมพันธ์เลย (Zero relationship) หมายถึง ตัวแปรตัวหนึ่งไม่สามารถอธิบายตัวแปรอีกตัวหนึ่งได้เลย
ความสัมพันธจึงมักมีค่าตั้งแต่ -1----0-----+1

ตัวแปรทดสอบ (Test Factors)
เพื่อให้แน่ใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ และตัวแปรตามเป็นความสัมพันธ์ที่แท้จริง ไม่ใช่ความสัมพันธ์ลวง (spurious relationship) มักจะทำการทดสอบความสัมพันธ์โดยการควบคุมอิทธิพลของตัวแปรบางตัวที่อาจจะเข้ามามีอิทธิพลต่อตัวแปรตามดูว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามที่กำลังศึกษาจะยังคงอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ ตัวแปรต่าง ๆ ที่นำมาทดสอบดูนี้เรียกว่าตัวแปรทดสอบ (Test Factors)
ชนิดของตัวแปรทดสอบ
1. ตัวแปรภายนอก (Extraneous variable)
Psychosis and Civilization (กลุ่มอายุ เฉพาะกลุ่มอายุสูงมากเท่านั้นซึ่งอาจะเป็นผลมาจาก senile dementia)
2.ตัวแปรองค์ประกอบ (Component variable)
เป็นการค้นหาว่าองค์ประกอบ (component) อะไรที่มีอิทธิพลจริง ๆ ต่อตัวแปรตาม
เช่นชนชั้นทางสังคมกับวิธีการเลี้ยงดูบุตร (ในอิตาลี และในสหรัฐ)
3. ตัวแปรแทรก (Intervening Variable) คือตัวแปรที่แทรกอยู่ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม
ต.ย. การศึกษา การมีส่วนร่วมทางการเมือง
การศึกษา ความเชื่อ การมีส่วนร่วมทางการเมือง
คนมีการศึกษาต้องมีความเชื่อมั่นว่าการเมืองเป็นสิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ การเมืองไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายอย่างที่หลายคนคิด
4. ตัวแปรปฐมเหตุ (Antecedent Variable) เป็นตัวแปรที่มาก่อนตัวแปรอิสระ หรือเป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อตัวแปรอิสระอีกทีหนึ่งเช่น
การศึกษา การมีส่วนร่วมทางการเมือง
แล้วอะไรกำหนดการศึกษาของคนเรา
อาชีพบิดามารดา การศึกษา การมีส่วนร่วมทางการเมือง
5. ตัวแปรกด (Suppressor Variable) หมายถึงตัวแปรที่ไปกดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ และตัวแปรตามให้ต่ำลงกว่าที่เป็นจริง ๆ ถ้าควบคุมอิทธิพลของตัวแปรตัวนี้แล้วความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามจะสูงกว่าที่เป็นอยู่ เช่น
ความเป็นยิว อัตราฆ่าตัวตายที่ต่ำ
6. ตัวแปรบิดเบือน (Distortor Variable) คือตัวแปรที่เมื่อควบคุมอิทธิพลของมันแล้วความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามจะกลับทิศทางกันเป็นตรงกันข้าม เช่นครั้งหนึ่งเราเคยเชื่อว่า
คนแต่งงานแล้วมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าคนโสด ปรากฏว่าเมื่อพิจารณาตามกลุ่มอายุแล้วปรากฏว่า ทุกกลุ่มอายุของคนที่แต่งงานแล้วมีอัตราการฆ่าตัวตายที่ต่ำกว่าคนโสดทั้งสิ้นยกเว้นในกลุ่มอายุที่น้อยมาก ๆ ซึ่งทำให้ภาพรวมการฆ่าตัวตายของคนแต่งงานแล้วมีสูงกว่าคนโสด

ตัวแปรและระดับการวัด
การวัด (Measurement)
หมายถึงการกำหนดค่าลงไปบนสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อให้สามารถจำแนกประเภท จัดลำดับ กำหนดปริมาณ หรือขนาดของ สิ่งที่เราต้องการจะวัดได้ เช่น :

รถยนต์ปิคอัพ 3 ประเภท
Toyota Nissan Mitsubishi

1. Efficiency
2. Style
3. Service
4. Price

รถยนต์ปิคอัพ 3 ประเภท
Toyota Nissan Mitsubishi

1. Efficiency 5 4 4
2. Style 4 4 4
3. Service 5 4 3
4. Price 4 5 4
รวม 18 17 15

ระดับการวัด (Level of Measurement)
1. การวัดในระดับจัดประเภท (Nominal Level) บางครั้งเรียกว่าNominal scale การวัดในระดับนี้ทำได้เพียง
- จำแนกประเภทของสิ่งต่าง ๆ เท่านั้น
- ตัวเลขหรือสัญลักษณ์เป็นเพียงเครื่องหมายบอกประเภท
ต.ย. เพศ ศาสนา เผ่าพันธุ์ ภูมิภาค ฯลฯ
การจัดประเภทต้องใช้หลัก
- Exhaustive และ
- Mutually exclusive
ตัวแปรที่วัดได้ในระดับนี้เรียกว่าตัวแปรในระดับ Nominal level หรือ Nominal scale
ตัวแปรประเภทนี้เรียกว่า Nominal variable
2. การวัดในระดับจัดลำดับ (Ordinal Level) บางครั้งเรียกว่า
Ordinal scale การวัดในระดับนี้เราสามารถ จำแนกประเภทได้ และจัดลำดับได้ ว่าอะไรสูง-ต่ำกว่ากัน หรืออะไรมากกว่า อะไรน้อยกว่าอะไร
- ตัวเลขที่กำหนดลงไปเป็นแต่เพียงค่าแสดงลำดับ (Rank value) เท่านั้น
ต.ย. เช่น ชั้นยศทหาร ความงาม การวัดทัศนคติต่าง ๆ ฯลฯ
- ตัวแปร ที่วัดได้ในระดับนี้เรียกว่าตัวแปรในระดับ Ordinal level หรือ Ordinal scale
ตัวแปรประเภทนี้เรียกว่า Ordinal variable
ข้อสังเกต ตัวแปรในการวิจัยทางสังคมส่วนใหญ่อยู่ในระดับ
Nominal และ Ordinal level เท่านั้น
3. การวัดในระดับจัดช่วง (Interval Level) บางครั้งเรียกว่าInterval scale การวัดในระดับนี้เราสามารถ จำแนกประเภทได้ และจัดลำดับได้ ว่และวัดช่วง หรือระยะห่างที่แน่นอนของค่าแต่ละค่า ด้วยเหตุนี้ ค่าที่วัดได้เราจึงสามารถนำไปบวก ลบ กันได้ในทางคณิตศาสตร์ เพราะมีระยะห่างที่แน่นอน
ต.ย. เช่นอุณหภูมิ เชาวน์ปัญญา ฯลฯ ซึ่งสามารถโดยเครื่องมือวัด ที่เรียกว่า เทอร์โมมิเตอร์ หรือแบบทดสอบเชาวน์ปัญญา
- ตัวแปร ที่วัดได้ในระดับนี้เรียกว่าตัวแปรในระดับ Interval level หรือ Interval scale
ตัวแปรประเภทนี้เรียกว่า Interval variable
ข้อสังเกต Interval variable นี้ไม่มีค่าศูนย์ตามธรรมชาติ หรือค่าศูนย์ที่แท้จริง (No natural zero point) จึงไม่สามารถนำค่าที่วัดได้ ไป คูณ หาร กันได้
4. การวัดในระดับอัตราส่วน (Ratio Level) บางครั้งเรียกว่าRatio scale การวัดในระดับนี้เราสามารถ จำแนกประเภทได้ จัดลำดับได้ วัดช่วง หรือระยะห่างที่แน่นอนของค่าแต่ละค่าได้เหมือน Interval scale ทุกอย่าง และยังสามารถเทียบเป็นอัตราส่วนได้ เนื่องจากตัวแปรในระดับนี้มีค่าศูนย์ธรรมชาติที่แท้จริง
- ค่าที่วัดได้จึงสามารถนำมา บวก ลบ คคูณ หาร ในทางคณิตศาสตร์ได้
ต.ย. เช่น ความยาว พื้นที่ รายได้ ฯลฯ
- ตัวแปร ที่วัดได้ในระดับนี้เรียกว่าตัวแปรในระดับ Ratio level หรือ Ratio scale
ตัวแปรประเภทนี้เรียกว่า Ratio variable
- เนื่องจาก Ratio variable ต่างจาก Interval variable
เพียงแค่มี หรือไม่มี Naural zero point เท่านั้น ตำราภาษาอังกฤษ
หลายเล่มจึงเรียกตัวแปรทั้ง 2 ชนิดนี้รวม ๆ กันว่า Interval variable
หมายเหตุ - ตัวแปรที่อยู่ในระดับการวัดที่สูงกว่าจะครอบคลุมลักษณะการวัดในระดับที่ต่ำกว่าทั้งหมด
- สถิติที่ใช้สำหรับตัวแปรระดับต่ำจึงใช้กับตัวแปรในระดับที่สูงกว่าได้ เพราะตัวแปรในระดับสูงมีคุณสมบัติครอบคลุมคุณสมบัติของตัวแปรระดับต่ำกว่าไว้ด้วย
- แต่ สถิติที่ใช้สำหรับตัวแปรระดับสูงจะไม่สามารถใช้กับตัวแปรในระดับที่ต่ำกว่าได้ เพราะตัวแปรในระดับต่ำไม่มีคุณสมบัติของตัวแปรระดับสูงอยู่ในตัวของมัน


การออกแบบวิจัย (Research Design)
หมายถึง การกำหนดวิธีการอย่างเป็นขั้นตอนไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล การสุ่มตัวอย่าง การวิเคราะห์ และการแปลความหมายข้อมูล เพื่อช่วยให้นักวิจัยสามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ที่สนใจศึกษา และสามารถนำผลการวิจัยไปอ้างสรุปเป็นข้อเสนอทั่วไป(generalization) สำหรับประชากรในวงกว้างได้ ด้วยความมั่นใจ

การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research)
ต.ย.
Rosenthal & Jacobson, Pygmalion in the Classroom
Concepts: Pygmalion Effect
สมมุติฐาน: ความเชื่อของครูเกี่ยวกับความสามารถของนักเรียนมีผลต่อสัมฤทธิผลทางการเรียนของนักเรียน
การออกแบบวิจัย: การวิจัยเชิงทดลอง
สถานที่วิจัย: โรงเรียนแห่งหนึ่งในชุมชนผู้มีรายได้น้อย

การออกแบบการวิจัยเชิงทดลองแบบคลาสสิค(Classic Experimental Design)
Pre-test Treatment Post-test Differences
E.G. R O1 X O2 O2-O1=de
C.G. R O3 - O4 O4-O3=dc

E.G = Experimental Group หรือกลุ่มทดลอง
C.G = Control Group หรือกลุ่มควบคุม
R = Random selection หรือการเลือกแบบสุ่ม
Pre-test = การทดสอบก่อน
Post-test = การทดสอบหลัง
Treatment = การใส่ตัวแปรอิสระลงไป ( X = ใส่ - = ไม่ใส่)
de = ผลต่างของกลุ่มทดลอง dc = ผลต่างของกลุ่มควบคุม
เพื่อเป็นการยืนยันว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากตัวแปรอิสระ X ผลการทดลองควรจะออกมาดังนี้
O2 > O1
O2 > O4
de > dc
แต่อาจะมี Hawthorne Effect มารบกวนการทดลองได้

Solomon Four-Group Design
Pre-test treatment Post-test
E.G. R O1 X O2
C.G. R O3 - O4
E.G. R - X O5
C.G. R - - O6

ในการออกแบบการทดลองแบบ 4 กลุ่มนี้ จะมีกลุ่มทดลอง 2 กลุ่ม และกลุ่มควบคุม 2 กลุ่ม ถ้าผลการทดลองยืนยันไปในทิศทางเดียวกันคือ O2 > O1, O2 > O4, O5 > O6, และ O5 > O3 จะทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลมากจากตัวแปรอิสระ X ที่เราใส่เข้าไปในกลุ่มทดลอง ไม่ได้เกิดมาจาก Hawthorne Effect (ซึ่งในกรณีนี้ได้แก่การทำPre-test นั่นเอง)

Post-test-Only Control Group Design
treatment Post-test
R X O1
R - O2

Experimental Design for Delayed Effect
(ทดสอบผลซ้ำอีกครั้งหลังเวลาผ่านไป 6 เดือน หรือ 1 ปี)
Pre-test treatment Post-test Post-test
R O1 X O2
R O3 - O4
R O5 - O6
R O7 - O8

Two-Independent-Variable Design (Factorial Design)
ต.ย. ความสัมพันธ์ของการกระจายอำนาจและขนาดขององค์การต่อขวัญและกำลังใจของพนักงาน
ใหญ่ เล็ก
กระจายอำนาจสูง X1 X2
กระจายอำนาจต่ำ X3 X4

X1 = ขนาดใหญ่ กระจายอำนาจสูง
X2 = ขนาดเล็ก กระจายอำนาจสูง
X3 = ขนาดใหญ่ กระจายอำนาจต่ำ
X4 = ขนาดเล็ก กระจายอำนาจต่ำ
จากนั้น ทำ Post-test Only เพื่อวัดผลต่อ Morale ของพนักงาน

ความเที่ยงตรงภายใน (Internal Validity)
หมายถึงความถูกต้องของเครื่องมือวัด หรือกระบวนการวิจัยหรือควา มถูกต้องในการสรุปความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรว่าความเปลี่ยนแปลงในตัวแปรอิสระทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวแปรตามอย่างแท้จริง
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความเที่ยงตรงภายใน (Internal Validity)
1. ปัจจัยภายนอก (Extrinsic factors)
- ความลำเอียงในการเลือกตัวอย่าง
- กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีความแตกต่างกันโดย ธรรมชาติอยู่แล้ว
- ฯลฯ
2. ปัจจัยภายใน (Intrinsic factors)
- เหตุการณ์พ้อง (History)
- การเปลี่ยนแปลงในตัวประชากรที่ศึกษา (Maturation)
- ทางร่างกาย (biological)
- ทางด้านจิตใจ (psychological)
- การสูญเสียประชากรที่ศึกษา (Experimental loss)
- ฯลฯ
ความเที่ยงตรงภายนอก (External Validity)
หมายถึงความสามารถในการนำผลการวิจัยไปอ้างสรุปไปสู่ประชากรในวงกว้าง (Generalizability)
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อ ความเที่ยงตรงภายนอก
1. ความเป็นตัวแทนของตัวอย่าง (Representativeness of sample)
2. สภาพการทดลองที่สอดคล้องหรือคล้ายคลึงกับ ความเป็นจริง (Reactive arrangement)

การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research)
- การวิจัยประเภทนี้ผู้วิจัยมักทำการสุ่มตัวอย่าง (Sampling) จากประชากรมาจำนวนหนึ่งแล้วทำการศึกษาจากตัวอย่าง (Sample)นั้น
- บางครั้งเราจึงเรียกว่าการวิจัยการวิจัยแบบนี้ว่า เป็นการวิจัยโดยการสำรวจจากตัวอย่าง (Sample Survey Research)
- ผลการวิจัยจากตัวอย่างจะสามารถนำไปอ้างสรุปถึงประชากรในวงกว้างได้ถูกต้องมากน้อยแค่ไหนเพียงใดขึ้นอยู่กับวิธีการสุ่มตัวอย่างว่าจะสามารถได้มาซึ่งตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของประชากรได้มากน้อย แค่ไหน

คำศัพท์ทางวิชาการ (Technical Terms)
ประชากร (Population) หมายถึงจำนวนหน่วยทั้งหมดของสิ่งที่เราต้องการศึกษา เช่น จำนวนนักศึกษาทั้งหมดของ NCMU พระภิกษุในเชียงใหม่ สส. สว. ฯลฯ
ตัวอย่าง (Sample) หมายถึงส่วนย่อยของประชากรที่เราเลือกเอามาทำการศึกษา เช่น 5% ของนักศึกษา NCMU สส. 70 คนจากจำนวน สส. ทั้งหมด


ประชากร

- ค่าพารามิเตอร์ (parameter) ค่าต่าง ๆ ที่วัดได้จากประชากร นิยมใช้อักษรกรีก เป็นสัญญลักษณ์
- ค่าสถิติ (statistic) ค่าต่าง ๆ ที่วัดได้จากตัวอย่างนิยมใช้อักษร โรมันเป็นสัญญลักษณ์

หน่วยการสุ่ม (sampling unit) หน่วยสมาชิกแต่ละหน่วยของประชากร
กรอบการสุ่ม (sampling frame) บัญชีรายชื่อของ sampling unit ทุกหน่วยซึ่งในทางปฏิบัติมักใช้ sampling frame ที่มีอยู่แล้ว เช่นทะเบียนบ้าน บัญชีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ฯลฯ

ต.ย. ความผิดพลาดในการใช้ sampling frame ที่ไม่เหมาะสม
1936 Literary Digest Poll ในการทำนายผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี
Franklin D. Roosevelt (D)
vs.
Alfred Landon (R)

- Sample Size 2.4 mil.
- 10 mil. Questionnaire being sent
- Literary Digest Poll ทำนายว่า Landon จะชนะ Roosevelt 57:43 %
- ผลปรากฏว่า Roosevelt ชนะถล่มทลาย 62:38%
- Literary Digest ใช้ sampling frame ไม่เหมาะสม คือใช้ สมุดโทรศัพท์ บัญชีรายชื่อสโมสร Country Clubs ฯลฯ
- ผลคือ Literary Digest เลิกกิจการไป
- ปัจจุบัน Gallup Poll ขึ้นมาแทนที่

ตัวอย่างหลัก (Master Sample) คือกรอบตัวอย่างมาตรฐานที่เราสร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในการศึกษา วิจัย สำหรับเมือง หรือเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
ขนาดตัวอย่าง (sample size) จำนวนหน่วยตัวอย่างที่เลือกมาทำการศึกษา ขนาดตัวอย่างจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับ
1. ลักษณะของ ประชากร
- homogeneous - เล็ก
- heterogeneous - ใหญ่
2. ทรัพยากรที่มี (เวลา งบประมาณ กำลังคน)
3. ความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้เกิดขึ้น
ความเข้าใจผิด ๆ (misconception) เกี่ยวกับขนาดตัวอย่าง
1. ตัวอย่างควรจะเป็นสัดส่วนของประชากร (เช่นถ้าประชากรเป็นหลักร้อยเอา 25% ประชากรเป็นหลักพันเอา 10% ประชากรหลักหมื่นเอา 5% ฯลฯ)
2. ตัวอย่างควรมีจำนวนขั้นต่ำเท่านั้นเท่านี้
3. ตัวอย่างยิ่งมีขนาดใหญ่ยิ่งดีเพราะจะเพิ่มความถูกต้องในการเป็นตัวแทนของประชากร

วิธีการสุ่มตัวอย่าง อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. Probability Sampling หมายถึงการสุ่มตัวอย่างแบบทราบโอกาสของความน่าจะเป็นในการที่แต่ละหน่วยของประชากรจะถูกเลือกเข้ามาไว้ในตัวอย่างซึ่งมีหลายวิธี
1.1 Simple-Random-Sampling (S-R-S) หรือการสุ่มอย่างง่าย ซึ่งอาจทำโดย
(ก) การจับสลาก (Lottery method)
(ข) การใช้ตารางเลขสุ่ม (Table of Random Numbers)
1.2 Systematic Sampling หรือการสุ่มอย่างเป็นระบบ
I = N/n จำนวนประชากร
จำนวนตัวอย่าง

1.3 Stratified Sampling หรือการสุ่มแบบแบ่งชั้น
(1) แบ่งประชากรออกเป็นชั้น ๆ (strata)
(2) ให้ภายในชั้นเดียวกันมีลักษณะคล้ายกันมากที่สุด แต่ต่างชั้นกันให้ต่างกันมากที่สุด
(3) จากนั้นอาจทำการสุ่มแบบ S-R-S หรือ Systematic Sampling
1.4 Cluster Sampling หรือการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม การสุ่มแบบนี้ใช้กลุ่มประชากรเป็น sampling unit
(1) แบ่งประชากรออกเป็นกลุ่ม (clusters)
(2) ให้ภายใน clusterเดียวกันมีลักษณะต่างกันมากที่สุด แต่ระหว่าง cluster กันให้คล้ายกันมากที่สุด
(3) จากนั้นอาจทำการสุ่มโดยใช้ cluster เป็นหน่วยการสุ่ม (sampling frame) ให้ได้จำนวน cluster ตามจำนวนที่ต้องการ
1.5 Multi-Stage Sampling หรือการสุ่มแบบหลายขั้นตอน โดยอาจใช้หลายวิธีผสมกัน ในแต่ละขั้นของการสุ่มอาจใช้วิธีการสุ่มที่แตกต่างกันไปจนกว่าจะถึงหน่วยการวิเคราะห์ที่เราต้องการ

2. Non-Probability Sampling หมายถึงการสุ่มตัวอย่างแบบไม่ทราบโอกาสของความน่าจะเป็นในการที่แต่ละหน่วยของประชากรจะถูกเลือกเข้ามาไว้ในตัวอย่างซึ่งมีหลายวิธี
2.1 Convenience or Accidental Sampling เรียกว่าการสุ่มตามสะดวกหรือการสุ่มแบบบังเอิญ เช่นเจอคนไหนก็เอาคนนั้นจนคบจำนวน และเพื่อลดความลำเอียงลงบ้าง อาจจะใช้วิธีทุก ๆ 5 คน ที่พบ เราเลือกเอาไว้ 1 คน เป็นต้น
2.2 Quota Sampling หรือการสุ่มแบบโควต้า ถ้าเรารู้สัดส่วนของประชากรเราอาจกำหนดโควต้าของตัวอย่างตามสัดส่วนของประชากร ถ้าไม่รู้เราก็อาจกำหนดโควต้าเอาตามที่ต้องการได้เลย
2.3 Purposive Sampling หรือการสุ่มตามวัตถุประสงค์อย่างเจาะจง
เป็นการเลือกตัวอย่างตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย เช่นต้องการศึกษาเปรียบเทียบปัญหาการพัฒนาชนบทในพื้นที่ยากจน เราก็เลือกพื้นที่ยากจนขึ้นมาเลย

การรวบรวมข้อมูล(Data Collection)
1. การส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์ (Mail questionnaire)
- ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้กรอกแบบสอบถามเอง แล้วส่งกลับมาให้ผู้วิจัยภายหลัง
ข้อดี
1. เสียค่าใช้จ่ายน้อย
2. ลดความลำเอียงอันเกิดจากวิธีการถามหรือบุคคลิกของผู้สัมภาษณ์
3. ประกันความลับของผู้ตอบแบบสอบถามได้ดีกว่า
4. ให้โอกาสผู้ตอบได้คิด และไตร่ตรอง
5. ส่งถึงคนได้เป็นจำนวนมาก และรวดเร็ว
ข้อจำกัด
1. ใช้ได้เฉพาะคำถามง่าย ๆ
2. ถ้าคำตอบไม่สมบูรณ์ไม่สามารถแก้ไขได้
3. คนตอบแบบสอบถามอาจจะไม่ใช่คนที่เราต้องการให้ตอบ
4. อัตราการตอบกลับน้อย ประมาณ 20% (อาจแก้ไขได้บ้าง)
- ให้ค่าตอบแทนเล็กน้อย
- ขอร้องอย่างสุภาพ
- Follow-up
2. การสัมภาษณ์ส่วนตัว (Personal Interview)
2.1 การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและใช้แบบสอบถาม
2.2 การ สัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและไม่ใช้แบบสอบถาม
2.3 การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง
วิธี 2.2 และ 2.3 อาจใช้ในกรณีต้องการข้อมูลเชิงลึก หรือผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ และประสบการณ์สูง
ข้อดี
1. มีความยืดหยุ่นสูง มีโอกาสถามซ้ำ และอธิบายคำถาม
2. อัตราการได้รับข้อมูลกลับสูงมาก
3. อาจใช้วิธีกการสังเกตร่วมด้วยได้
ข้อจำกัด
1. เสียค่าใช้จ่ายสูง
2. อาจเกิดความลำเอียงจากการสัมภาษณ์
3. ไม่สามารถประกันความลับของผู้ให้ข้อมูลได้
ปัจจุบันมีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก
หลักการสัมภาษณ์
1. เข้าใจคำถามอย่างถ่องแท้
2. สร้างความเป็นกันเองและความไว้วางใจ
3. แต่งกายเรียบร้อย มีบุคลิกดี
4. ไม่รบกวนเวลาทำงานปกติของผู้ให้สัมภาษณ์
5. เริ่มถามคำถามตามลำดับ
6. ไม่ถามนำ หรือโต้เถียง
7. ถ้าใช้เวลานานเกินไปอาจหยุดพัก หรือแบ่งเวลาสัมภาษณ์เป็นตอน ๆ
8. การสัมภาษณ์ไม่ใช่การสอบสวนหรือการสอบปากคำ
9. จดบันทึกการสัมภาษณ์ทันที
10. จบการสัมภาษณ์แบบรักษามิตรภาพไว้
3. การสังเกต (Observation)
การสังเกตช่วยนักวิจัยได้มากเพราะ บางครั้งเป็นวิธีเดียวที่จะได้ข้อมูล และให้ข้อมูลได้ละเอียดและตรงความจริงมากกว่าวิธีการรวบรวมข้อมูลแบบอื่น
ข้อดี
1. ไม่รบกวนเวลาของผู้ให้ข้อมูล
2. ความสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับตัวผู้วิจัยเอง
ข้อจำกัด
1. อาจสังเกตผิดได้ สิ่งที่เรากำลังสังเกตไม่ใช้สิ่งทีเราต้องการสังเกต
2. อาจเกิด bias หรือเข้าใจผิดได้เพราะผู้สังเกต กับผู้ถูกสังเกตมีภูมิหลังทางวัฒนธรรมต่างกัน
3. พฤติกรรมของผู้ถูกสังเกตไม่เป็นธรรมชาติ
การสังเกตอาจแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี
(1) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation)
วิธีการนี้ผู้สังเกตจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้ถูกสังเกต เข้าร่วมในกิจกรรมทุกอย่างจนผู้ถูกสังเกตรู้สึกว่าผู้สังเกตเป็นสมาชิก หรือเป็นส่วนหนึ่งในสังคมของคน ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนภายนอก วิธีนี้ใช้กันมากในการวิจัยทางมานุษยวิทยา
(2) การสังเกตแบบไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม (Non-participant observation)
วิธีนี้ผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพียงแต่เข้าไปทำการสังเกตอย่างเดียว
การสร้างแบบสอบถาม (Questionnaire)
แบบสอบถาม (Questionnaire) หมายถึงชุดของข้อคำถามต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งนักวิจัยใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งนิยมใช้มากในการวิจัยเชิงสำรวจ ชุดของคำถามอาจจะเกี่ยวกับข้อเท็จจริง ความคิดเห็น ทัศนคติ หรือประสบการณ์ของผู้ตอบแบบสอบถามที่ผู้วิจัยต้องการทราบ
คำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง มักมีลักษณะตรงไปตรงมา เช่นคำถามเกี่ยวกับอายุ เพศ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส จำนวนแหล่งน้ำ จำนวนประชากร ฯลฯ
คำถามเกี่ยวกับทัศนคติ หรือความคิดเห็น เป็นคำถามที่มีความสลักซับซ้อนมากขึ้น ไม่สามารถใช้วิธีการถามตรงไปตรงมาได้
ทัศนคติ เป็นผลรวมของความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ เป็นความคิด หรือความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องใด เรื่องหนึ่ง
ความคิดเห็น เป็นการแสดงออกด้วยถ้อยคำที่สะท้อน หรืออธิบายทัศนคติของบุคคลออกมา เช่นท่านคิดว่าเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบควรฝึกมวยอาชีพหรือไม่ (ควร ไม่ควร)
ชนิดของคำถามในแบบสอบถาม
1. คำถามปิด (Closed-ended questions)
เช่น ท่านคิดว่าการตัดสินใจมาเรียน รปศ. เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วหรือไม่
(1) ถูกต้องแล้ว
(2) ไม่ถูกต้อง
(3) ไม่แน่ใจ
ข้อดี
1. ง่ายแก่การวิเคราะห์
2. สะดวกในการตอบ
ข้อเสีย
1. แข็ง
2. จำกัดเสรีภาพของผู้ตอบ
3. บางทีคำตอบที่ให้ไว้ไม่ครอบคลุม
2. คำถามเปิด (Open-ended questions)
ท่านเลือกเรียน รปศ. เพราะเหตุใด …………………………..
ท่านคิดว่าปัญหาเร่งด่วนที่สุดในการเรียน รปศ. ขณะนี้คือ อะไร………………
ข้อดี - ได้คำตอบลึกซึ้ง และครอบคลุม
ข้อเสีย 1. ยากแก่การตอบ
2. ยากแก่การวิเคราะห์
3. คำถามต่อเนื่อง หรือคำถามที่มีเงื่อนไข (Contingency questions)
เช่น - ท่านสนใจจะซื้อบ้านหลังที่สองหรือไม่
(1) สนใจ
(2) ไม่สนใจ
- ถ้าสนใจ ท่านสนใจบ้านประเภทใด
(1) บ้านเดี่ยว (3) ทาวน์เฮ้าส์
(2) บ้านแฝด (4) คอนโดมิเนียม
ลำดับขั้นในการสร้างแบบสอบถาม
1. กำหนดประเภทและเนื้อหาของข้อมูลที่ต้องการ
- ความรู้
- ข้อเท็จจริง
- ความคิดเห็น
- ทัศนคติ
2. กำหนดประเภทของคำถาม
- คำถามปิด
- คำถามเปิด
- คำถามต่อเนื่อง
3. ขั้นลงมือร่างแบบสอบถาม
4. ตรวจสอบ ปรับปรุง
- ด้วยตนเองก่อน
- ให้ผู้เชี่ยวชาญ comment
5. ทดสอบแบบสอบถาม (pre-test)
- validity (เรากำลังวัดสิ่งที่เราต้องการวัดหรือเปล่า)
- reliability (เราวัดได้ผลเหมือนกันทุกครั้งหรือเปล่า)
- เวลาที่ใช้ในการตอบ ความเข้าใจของผู้ตอบ
กลุ่มประชากรที่ใช้ pretest
(1) จำนวนไม่ต้องมากนัก
(2) ไม่ใช่กลุ่มเดียว กับประชากรที่ศึกษาเพื่อหลีกเลี่ยง Hawthorne Effect
6. ปรับปรุงแก้ไขหลัง pretest
7. จัดพิมพ์

ข้อควรคำนึงในการร่างแบบสอบถาม
1. เริ่มจาก - ง่ายไปหายาก
- ใกล้ตัวไปหาไกลตัว
- ข้อเท็จจริงไปหาความคิดเห็นหรือทัศนคติ
2. ใช้ถ้อยคำชัดเจนไม่กำกวม เช่น
- บ้านที่ท่านอาศัยอยู่ขณะนี้ราคาเท่าใด
(ราคาในขณะนี้ หรือราคาที่ซื้อมา)
3. คำถามต้องเหมาะสมกับผู้ตอบในแง่ความยากง่าย และภาษาที่ใช้
- พระมหากษัตริย์ ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางสภาผู้แทนราษฎรหมายความว่าอย่างไร
- ท่านคิดว่าอำนาจอธิปไตยจะมีทางเป็นของประชาชนได้อย่างแท้จริงได้ในกรณีใดบ้าง
- คดีอุทลุมควรยกเลิกหรือไม่
4. ไม่ควรมี 2 คำถามในข้อเดียวกัน เช่น
- ท่านเห็นด้วยกับการลดอัตรากำลังและเพิ่มสวัสดิการข้าราชการหรือไม่
5. ไม่ควรใช้คำถามปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ เช่น
- ท่านคิดว่ารัฐบาลควรออกกฎหมายห้ามไม่ให้ข้าราชการใช้เวลาอย่างไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่
6. ไม่ควรใช้คำถามนำ เช่น
(การส่งข้าวไปช่วยอัฟริกา)
7. คำถามที่มีลักษณะคุกคาม หรือ อ่อนไหว ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
- ยาเสพติด
- sexual preferences
- child abuse
8. คำถามควรครอบคลุมประเด็นที่ต้องการศึกษาครบถ้วน
- จากวัตถุประสงค์
- จากสมมุติฐาน
แบบสอบถามทัศนคติโดยการประมาณค่าแบบรวม (Summated Rating) การสอบถามทัศนคติมักทำเป็น Rating Scale ที่นิยมกันมากได้แก่ Likert Scale ซึ่งมักมี 5 ลำดับขั้นด้วยกัน
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
เห็นด้วย
ไม่แน่ใจ
ไม่เห็นด้วย
ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
จากนั้นจะทำการกำหนดคะแนนเช่น
เห็นด้วยอย่างยิ่ง 5
เห็นด้วย 4
ไม่แน่ใจ 3
ไม่เห็นด้วย 2
ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง 1
หรืออาจกำหนดให้
เห็นด้วยอย่างยิ่ง 2
เห็นด้วย 1
ไม่แน่ใจ 0
ไม่เห็นด้วย -1
ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง -2

ต.ย. ทัศนคติต่ออาชีพพยาบาล
5 4 3 2 1
1. อาชีพพยาบาลเป็นอาชีพที่มีเกียรติ
2. อาชีพพยาบาลเป็นอาชีพที่ช่วยเหลือสังคม
3. อาชีพพยาบาลเป็นอาชีพที่เสียสละ

5 4 3 2 1
4. อาชีพพยาบาลเป็นอาชีพที่ไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
5. ข้าพเจ้าอารมณ์เสียทุกครั้งที่เจอผู้ป่วย
6…………………………...
7…………………………...
การลงรหัส (Coding)
1 2 3




4
1. เพศ (1) ชาย
(2) หญิง
5 6
2. อายุ ………ปี

7
3. การศึกษา (1) ประถมศึกษา
(2) มัธยมศึกษา
(3) ปริญญาตรี
(4) สูงกว่าปริญญาตรี
(5) ไม่มีการศึกษา
8 9 10 11 12
4. รายได้ต่อเดือน ………….บาท

ผลการลงรหัสจะปรากฏดังนี้
001126502500
002225306000
003228425000
004148103500

ความรู้ด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
ข้อมูล, สารสนเทศ และการจัดการ
ข้อมูล (Data) หมายถึงค่าความจริง ซึ่งแสดงถึงความเป็นจริงที่ปรากฏขึ้น เช่น ชื่อพนักงานและจำนวนชั่วโมงการทำงานในหนึ่งสัปดาห์, จำนวนสินค้าที่อยู่ในคลังสินค้า เป็นต้น ข้อมูลมีหลายประเภท เช่น ข้อมูลตัวเลข ข้อมูล ตัวอักษร ข้อมูลรูปภาพ ข้อมูลเสียงและข้อมูลภาพเคลื่อนไหว ซึ่งข้อมูลชนิดต่างๆ เหล่านี้ใช้ในการนำเสนอค่าความจริงต่างๆ โดยค่าความจริงที่ถูกนำมาจัดการและปรับแต่งเพื่อให้มีความหมายแล้ว จะเปลี่ยนเป็นสารสนเทศ
สารสนเทศ (Information) หมายถึงกลุ่มข้อมูลที่ถูกจัดการตามกฎหรือ ถูกกำหนดความสัมพันธ์ให้ เพื่อให้ข้อมูลเหล่านั้นเกิดประโยชน์หรือมีความหมายเพิ่มมากขึ้น ประเภทของสารสนเทศขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น จำนวนยอดขายของตัวแทนจำหน่ายแต่ละคนในเดือนมกราคมจัดเป็นข้อมูล เมื่อนำมาประมวลผลรวมกันทำให้ได้ยอดขายรายเดือนของเดือนมกราคม ทำให้ผู้บริหารสามารถนำยอดขายรายเดือนมาพิจารณาว่ายอดขายเป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์กรหรือไม่ได้ง่ายขึ้น ยอดขายรายเดือนนี้จึงจัดเป็นสารสนเทศ หรือตัวอย่าง เช่น ตัวเลข 1.1, 1.5, และ 1.6 จัดเป็นข้อมูลตัวเลข เนื่องจากเป็นค่าความจริงซึ่งยังไม่สามารถแปลความหมายใดๆ ได้แต่ข้อมูลเหล่านี้จัดเป็นสารสนเทศเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่บ่งบอกความหมายของข้อมูลได้มากขึ้น เช่น เมื่อกล่าวว่า ตัวเลขเหล่านี้คือยอดขายประจำเดือนมกราคม กุมภาพันธ์และมีนาคม โดยมีหน่วยเป็นหลักล้าน จะทำให้ตัวเลขทั้ง 3 มี ความหมายเกิดขึ้น หรืออาจกล่าวได้ว่ายอดขายเฉลี่ยระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคมมีค่าเท่ากับ 1.4 ล้าน จัดเป็น สารสนเทศที่เกิดขึ้นจากข้อมูลตัวเลขทั้ง 3
ขบวนการ (Process) หมายถึงการแปลงข้อมูลให้เปลี่ยนเป็นสารสนเทศหรือกล่าวได้ว่า ขบวนการคือกลุ่มของงานที่สัมพันธ์กัน เพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์ตามที่ต้องการ รูปที่ 1 แสดงขบวนการแปลงข้อมูลเป็นสารสนเทศ

รูปที่ 1 ขบวนการแปลงข้อมูลเป็นสารสนเทศ

การจัดการ (Management) หมายถึงการบริหารอย่างมีระบบ ซึ่งประกอบด้วยการกำหนดเป้าหมายและ ทิศทางขององค์กรและการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ซึ่งจะต้องมีการวางแผน การจัดการ การกำหนดทิศทางและการควบคุมเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม
แนวคิดของระบบและการทำตัวแบบ
ระบบ (System) หมายถึงกลุ่มส่วนประกอบหรือระบบย่อยต่างๆที่มีการทำงานร่วมกัน เพื่อให้ ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยส่วนประกอบและความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต่างๆ ในระบบ จะเป็นตัวกำหนดว่าระบบจะสามารถทำงานได้อย่างไร เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ โดยระบบแต่ละระบบถูกจำกัดด้วยขอบเขต (System Boundary) ซึ่งจะเป็นตัวแยกระบบนั้นๆ ออกจากสิ่งแวดล้อม ดังแสดงความสัมพันธ์ของส่วนต่างๆในระบบดังรูปที่ 2

รูปที่ 2 ความสัมพันธ์ของส่วนต่างๆ ในระบบ

ประเภทของระบบ
ระบบสามารถแบ่งเป็นประเภทต่างๆได้หลายกลุ่ม ดังนี้
1. ระบบอย่างง่าย(Simple) และระบบที่ซับซ้อน (Complex)- ระบบอย่างง่าย (Simple) หมายถึง ระบบที่มีส่วนประกอบน้อยและความสัมพันธ์หรือการโต้ตอบระหว่างส่วนประกอบต่างๆ ไม่ซับซ้อน ตรงไปตรงมา- ระบบที่ซับซ้อน (Complex) หมายถึง ระบบที่มีส่วนประกอบมากหลายส่วน แต่ละส่วนมีความสัมพันธ์และมีความเกี่ยวข้องกันค่อนข้างมาก2. ระบบเปิด(Open) และระบบปิด (Close)- ระบบเปิด (Open) คือ ระบบที่มีการโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อม- ระบบปิด (Close) คือ ระบบที่ไม่มีการโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อม3. ระบบคงที่ (Static) และระบบเคลื่อนไหว (Dynamic)- ระบบคงที่ (Static) คือ ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากเมื่อเวลาผ่านไป- ระบบเคลื่อนไหว (Dynamic) คือ ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างคงที่ตลอดเวลา4. ระบบที่ปรับเปลี่ยนได้ (Adaptive) และระบบที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ (Nonadaptive)- ระบบที่ปรับเปลี่ยนได้ (Adaptive) คือระบบที่สามารถเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบโต้กับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้- ระบบที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ (Nonadaptive) คือระบบที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง เพื่อตอบโต้กับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้5. ระบบถาวร (Permanent) และระบบชั่วคราว (Temporary)- ระบบถาวร(Permanent) คือระบบที่มีอยู่ในช่วงระยะเวลายาวนาน- ระบบชั่วคราว(Temporary) คือระบบที่มีอยู่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ

ประสิทธิภาพของระบบ
ประสิทธิภาพของระบบสามารถวัดได้หลายทาง ได้แก่
ประสิทธิภาพ (Efficiency) คือการวัดสิ่งที่ถูกผลิตออกมา หารด้วยสิ่งที่ถูกใช้ไป สามารถแบ่งช่วงจาก 0 ถึง 100% ตัวอย่างเช่น ประสิทธิภาพของเครื่องมอเตอร์เครื่องหนึ่งคือพลังงานที่ผลิตออกมา (ในรูปของงานที่ทำเสร็จ) หารด้วยได้พลังงานที่ใช้ไป (ในรูปของไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิง) เครื่องมอเตอร์บางเครื่องมีประสิทธิภาพ 50% หรือน้อยกว่า เนื่องจากพลังงานสูญเสียไปในการเสียดทาน และกำเนิดความร้อน ประสิทธิผล (Effectiveness) คือการวัดระดับการประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายของระบบ สามารถคำนวณได้ด้วยการ หารสิ่งที่ได้รับจากการประสบผลสำเร็จจริง ด้วยเป้าหมายรวม เช่น บริษัทหนึ่งมีเป้าหมายในการลดชิ้นส่วนที่เสียหาย 100 หน่วย เมื่อนำระบบการควบคุมใหม่มาใช้อาจจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้ ถ้าระบบควบคุมใหม่นี้สามารถลดจำนวนชิ้นส่วนที่เสียหายได้เพียง 85 หน่วย ดังนั้นระดับของประสิทธิผลของระบบควบคุมนี้จะเท่ากับ 85%
การทำตัวแบบของระบบ
ในโลกแห่งความเป็นจริงค่อนข้างซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อต้องการทดสอบความสัมพันธ์แบบต่างๆ และสังเกตผลที่เกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้ตัวแบบของระบบนั้นๆ แทนที่จะทดลองกับระบบจริง ตัวแบบ (Model) คือตัวแทนซึ่งเป็นแนวคิดหรือเป็นการประมาณเพื่อใช้ในการแสดงการทำงานของระบบจริง ตัวแบบสามารถช่วยสามารถสังเกตและเกิดความเข้าใจต่อผลลัพธ์อาจเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ ตัวแบบมีหลายชนิด ได้แก่
1. .
TC = (V)(X)+FC
โดยที่
TC = ค่าใช้จ่ายรวม V = ค่าใช้จ่ายผันแปรต่อหน่วยX = จำนวนหน่วยที่ถูกผลิตFC = ค่าใช้จ่ายคงที่
ในการสร้างตัวแบบแบบใดๆ จะต้องพยายามทำให้ตัวแบบนั้นๆสามารถเป็นตัวแทนระบบจริงได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ได้ทางแก้ปัญหาของระบบที่ถูกต้องมากที่สุด
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการข้อมูล, สารสนเทศ และการจัดการข้อมูล (Data) หมายถึงค่าความจริง ซึ่งแสดงถึงความเป็นจริงที่ปรากฏขึ้น เช่น ชื่อพนักงานและจำนวนชั่วโมงการทำงานในหนึ่งสัปดาห์, จำนวนสินค้าที่อยู่ในคลังสินค้า เป็นต้น ข้อมูลมีหลายประเภท เช่น ข้อมูลตัวเลข ข้อมูล ตัวอักษร ข้อมูลรูปภาพ ข้อมูลเสียงและข้อมูลภาพเคลื่อนไหว ซึ่งข้อมูลชนิดต่างๆ เหล่านี้ใช้ในการนำเสนอค่าความจริงต่างๆ โดยค่าความจริงที่ถูกนำมาจัดการและปรับแต่งเพื่อให้มีความหมายแล้ว จะเปลี่ยนเป็นสารสนเทศสารสนเทศ (Information) หมายถึงกลุ่มข้อมูลที่ถูกจัดการตามกฎหรือ ถูกกำหนดความสัมพันธ์ให้ เพื่อให้ข้อมูลเหล่านั้นเกิดประโยชน์หรือมีความหมายเพิ่มมากขึ้น ประเภทของสารสนเทศขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น จำนวนยอดขายของตัวแทนจำหน่ายแต่ละคนในเดือนมกราคมจัดเป็นข้อมูล เมื่อนำมาประมวลผลรวมกันทำให้ได้ยอดขายรายเดือนของเดือนมกราคม ทำให้ผู้บริหารสามารถนำยอดขายรายเดือนมาพิจารณาว่ายอดขายเป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์กรหรือไม่ได้ง่ายขึ้น ยอดขายรายเดือนนี้จึงจัดเป็นสารสนเทศ หรือตัวอย่าง เช่น ตัวเลข 1.1, 1.5, และ 1.6 จัดเป็นข้อมูลตัวเลข เนื่องจากเป็นค่าความจริงซึ่งยังไม่สามารถแปลความหมายใดๆ ได้แต่ข้อมูลเหล่านี้จัดเป็นสารสนเทศเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่บ่งบอกความหมายของข้อมูลได้มากขึ้น เช่น เมื่อกล่าวว่า ตัวเลขเหล่านี้คือยอดขายประจำเดือนมกราคม กุมภาพันธ์และมีนาคม โดยมีหน่วยเป็นหลักล้าน จะทำให้ตัวเลขทั้ง 3 มี ความหมายเกิดขึ้น หรืออาจกล่าวได้ว่ายอดขายเฉลี่ยระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคมมีค่าเท่ากับ 1.4 ล้าน จัดเป็น สารสนเทศที่เกิดขึ้นจากข้อมูลตัวเลขทั้ง 3ขบวนการ (Process) หมายถึงการแปลงข้อมูลให้เปลี่ยนเป็นสารสนเทศหรือกล่าวได้ว่า ขบวนการคือกลุ่มของงานที่สัมพันธ์กัน เพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์ตามที่ต้องการ รูปที่ 1 แสดงขบวนการแปลงข้อมูลเป็นสารสนเทศการจัดการ (Management) หมายถึงการบริหารอย่างมีระบบ ซึ่งประกอบด้วยการกำหนดเป้าหมายและ ทิศทางขององค์กรและการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ซึ่งจะต้องมีการวางแผน การจัดการ การกำหนดทิศทางและการควบคุมเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรได้อย่างเหมาะสมแนวคิดของระบบและการทำตัวแบบระบบ (System) หมายถึงกลุ่มส่วนประกอบหรือระบบย่อยต่างๆที่มีการทำงานร่วมกัน เพื่อให้ ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยส่วนประกอบและความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต่างๆ ในระบบ จะเป็นตัวกำหนดว่าระบบจะสามารถทำงานได้อย่างไร เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ โดยระบบแต่ละระบบถูกจำกัดด้วยขอบเขต (System Boundary) ซึ่งจะเป็นตัวแยกระบบนั้นๆ ออกจากสิ่งแวดล้อม ดังแสดงความสัมพันธ์ของส่วนต่างๆในระบบดังรูปที่ 2ประเภทของระบบระบบสามารถแบ่งเป็นประเภทต่างๆได้หลายกลุ่ม ดังนี้1. ระบบอย่างง่าย(Simple) และระบบที่ซับซ้อน (Complex)- ระบบอย่างง่าย (Simple) หมายถึง ระบบที่มีส่วนประกอบน้อยและความสัมพันธ์หรือการโต้ตอบระหว่างส่วนประกอบต่างๆ ไม่ซับซ้อน ตรงไปตรงมา- ระบบที่ซับซ้อน (Complex) หมายถึง ระบบที่มีส่วนประกอบมากหลายส่วน แต่ละส่วนมีความสัมพันธ์และมีความเกี่ยวข้องกันค่อนข้างมาก2. ระบบเปิด(Open) และระบบปิด (Close)- ระบบเปิด (Open) คือ ระบบที่มีการโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อม- ระบบปิด (Close) คือ ระบบที่ไม่มีการโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อม3. ระบบคงที่ (Static) และระบบเคลื่อนไหว (Dynamic)- ระบบคงที่ (Static) คือ ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากเมื่อเวลาผ่านไป- ระบบเคลื่อนไหว (Dynamic) คือ ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างคงที่ตลอดเวลา4. ระบบที่ปรับเปลี่ยนได้ (Adaptive) และระบบที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ (Nonadaptive)- ระบบที่ปรับเปลี่ยนได้ (Adaptive) คือระบบที่สามารถเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบโต้กับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้- ระบบที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ (Nonadaptive) คือระบบที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง เพื่อตอบโต้กับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้5. ระบบถาวร (Permanent) และระบบชั่วคราว (Temporary)- ระบบถาวร(Permanent) คือระบบที่มีอยู่ในช่วงระยะเวลายาวนาน- ระบบชั่วคราว(Temporary) คือระบบที่มีอยู่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆประสิทธิภาพของระบบประสิทธิภาพของระบบสามารถวัดได้หลายทาง ได้แก่ประสิทธิภาพ (Efficiency) คือการวัดสิ่งที่ถูกผลิตออกมา หารด้วยสิ่งที่ถูกใช้ไป สามารถแบ่งช่วงจาก 0 ถึง 100% ตัวอย่างเช่น ประสิทธิภาพของเครื่องมอเตอร์เครื่องหนึ่งคือพลังงานที่ผลิตออกมา (ในรูปของงานที่ทำเสร็จ) หารด้วยได้พลังงานที่ใช้ไป (ในรูปของไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิง) เครื่องมอเตอร์บางเครื่องมีประสิทธิภาพ 50% หรือน้อยกว่า เนื่องจากพลังงานสูญเสียไปในการเสียดทาน และกำเนิดความร้อน ประสิทธิผล (Effectiveness) คือการวัดระดับการประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายของระบบ สามารถคำนวณได้ด้วยการ หารสิ่งที่ได้รับจากการประสบผลสำเร็จจริง ด้วยเป้าหมายรวม เช่น บริษัทหนึ่งมีเป้าหมายในการลดชิ้นส่วนที่เสียหาย 100 หน่วย เมื่อนำระบบการควบคุมใหม่มาใช้อาจจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้ ถ้าระบบควบคุมใหม่นี้สามารถลดจำนวนชิ้นส่วนที่เสียหายได้เพียง 85 หน่วย ดังนั้นระดับของประสิทธิผลของระบบควบคุมนี้จะเท่ากับ 85%การทำตัวแบบของระบบในโลกแห่งความเป็นจริงค่อนข้างซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อต้องการทดสอบความสัมพันธ์แบบต่างๆ และสังเกตผลที่เกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้ตัวแบบของระบบนั้นๆ แทนที่จะทดลองกับระบบจริง ตัวแบบ (Model) คือตัวแทนซึ่งเป็นแนวคิดหรือเป็นการประมาณเพื่อใช้ในการแสดงการทำงานของระบบจริง ตัวแบบสามารถช่วยสามารถสังเกตและเกิดความเข้าใจต่อผลลัพธ์อาจเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ ตัวแบบมีหลายชนิด ได้แก่1. .TC = (V)(X)+FCโดยที่TC = ค่าใช้จ่ายรวม V = ค่าใช้จ่ายผันแปรต่อหน่วยX = จำนวนหน่วยที่ถูกผลิตFC = ค่าใช้จ่ายคงที่ในการสร้างตัวแบบแบบใดๆ จะต้องพยายามทำให้ตัวแบบนั้นๆสามารถเป็นตัวแทนระบบจริงได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ได้ทางแก้ปัญหาของระบบที่ถูกต้องมากที่สุดความหมายและบทบาทของระบบสารสนเทศระบบสารสนเทศ (Information System หรือ IS) คือระบบแบบเฉพาะเจาะจงชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นกลุ่มของส่วนประกอบพื้นฐานต่างๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกันในการเก็บ (นำเข้า), จัดการ (ประมวลผล) และเผยแพร่(แสดงผล) ข้อมูลและสารสนเทศและสนับสนุนกลไกลของผลสะท้อนกลับ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ส่วนประกอบของสารสนเทศ1. ส่วนที่นำเข้า (Inputs) ได้แก่การรวบรวมและการจัดเตรียมข้อมูลดิบ ส่วนที่นำเข้านี้สามารถมีได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการโทรเข้าเพื่อขอข้อมูลในระบบสอบถามเบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลที่ลูกค้ากรอกในใบ สอบถามการให้บริการของร้านค้าฯลฯ ขึ้นอยู่กับส่วนแสดงผลที่ต้องการ ส่วนที่นำเข้านี้อาจเป็นขบวนการที่ทำด้วยตัวเองหรือเป็นแบบอัตโนมัติก็ได้ เช่นการอ่านข้อมูลรายชื่อสินค้าและรายราคาโดยเครื่องอ่าน บาร์โค้ดของห้างสรรพสินค้า จัดเป็นส่วนที่นำเข้าแบบอัตโนมัติ2. การประมวลผล (Processing) เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนและการแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปของส่วนแสดงผลที่มีประโยชน์ ตัวอย่างของการประมวลผลได้แก่การคำนวณ การเปรียบเทียบ การเลือกทางเลือกในการปฏิบัติงานและการเก็บข้อมูลไว้ใช้ในอนาคต โดยการประมวลผลสามารถทำได้ด้วยตนเองหรือสามารถใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยก็ได้ ตัวอย่างเช่น ระบบคิดเงินเดือนพนักงาน สามารถคิดได้จากการนำจำนวน ชั่วโมงการทำงานของพนักงานคูณเข้ากับอัตราค่าจ้างเพื่อให้ได้ยอดเงินรวมที่ต้องจ่ายรวม ถ้าชั่วโมงการทำงานรายสัปดาห์มากกว่า 40 ชั่วโมงอาจมีการคิดเงินล่วงเวลาให้ โดยเพิ่มเข้าไปกับเงินรวม จากนั้นอาจจะทำการหักภาษีพนักงาน โดยการนำเงินรวมมาคิดภาษีและนำเงินรวมมาลบด้วยภาษีที่คำนวณได้ จะทำให้ได้เงินสุทธิที่ต้องจ่ายให้กับพนักงาน3. ส่วนที่แสดงผล (Outputs) เกี่ยวข้องกับการผลิตสารสนเทศที่มีประโยชน์ มักจะอยู่ในรูปของเอกสาร หรือรายงานหรืออาจะเป็นเช็คที่จ่ายให้กับพนักงาน รายงานที่นำเสนอผู้บริหารและสารสนเทศที่ถูกผลิตออกมาให้กับผู้ถือหุ้น ธนาคาร หรือกลุ่มอื่นๆ โดยส่วนแสดงผลของระบบหนึ่งอาจใช้เป็นส่วนที่นำเข้าเพื่อควบคุมระบบหรืออุปกรณ์อื่นๆ ก็ได้ เช่นในขบวนการผลิตเฟอร์นิเจอร์ พนักงานขาย ลูกค้า และ นักออกแบบเฟอร์นิเจอร์อาจจะทำการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า โดยอาจจะใช้ซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการออกแบบนี้ด้วย จนกระทั่งได้ต้นแบบที่ตรงความต้องการมากที่สุด จึงส่งแบบนั้นไปทำการผลิต จะเห็นว่าแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ได้จากการออกแบบแต่ละครั้งจะเป็นส่วนที่ถูกนำไปปรับปรุงการออกแบบในครั้งต่อๆ ไป จนกระทั่งได้แบบ สุดท้ายออกมา อาจอยู่ในรูปของสิ่งพิมพ์ที่ออกมาจากเครื่องพิมพ์หรือแสดงอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เป็นอุปกรณ์แสดงผลตัวหนึ่งหรืออาจจะอยู่ในรูปของรายงานและเอกสารที่เขียนด้วยมือก็ได้4. ผลสะท้อนกลับ (Feedback) คือส่วนแสดงผลที่ใช้ในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อส่วนที่นำเข้าหรือส่วนประมวลผล เช่น ความผิดพลาดหรือปัญหาที่เกิดขึ้น อาจจำเป็นต้องแก้ไขข้อมูลนำเข้าหรือทำการเปลี่ยนแปลงการประมวลผลเพื่อให้ได้ส่วนแสดงผลที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ระบบการจ่ายเงินเดือนพนักงาน ถ้าทำการป้อนชั่วโมงการทำงานรายสัปดาห์เป็น 400 แทนที่จะเป็น 40 ชั่วโมง ถ้าทำการกำหนดให้ระบบตรวจสอบค่าชั่วโมงการทำงานให้อยู่ในช่วง 0-100 ชั่วโมง ดังนั้นเมื่อพบข้อมูลนี้เป็น 400 ชั่วโมง ระบบจะทำการส่งผลสะท้อนกลับออกมา อาจจะอยู่ในรูปของรายงานความผิดพลาด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการตรวจสอบและแก้ไขจำนวนชั่วโมงการทำงานที่นำเข้ามาคำนวณให้ถูกต้องได้ตัวอย่าง เช่น ระบบล้างรถอัตโนมัติระบบสารสนเทศประกอบด้วยส่วนที่นำเข้า คือ รถที่สกปรก น้ำ และน้ำยาต่างๆ ที่ใช้ในการล้างรถ เวลาและพลังงานถูกใช้ในการปฏิบัติการล้างรถ ทักษะได้แก่ความสามารถเฉพาะอย่างจะถูกนำมาใช้ในการฉีดสเปรย์ ขัดโฟม และเป่าแห้ง ความรู้ถูกนำมาใช้ในการกำหนดขั้นตอนการทำงานของการล้างรถให้ทำงานไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง การประมวลผล ประกอบด้วย ขั้นที่หนึ่ง การเลือกประเภทการล้างรถที่ต้องการ เช่น ล้างอย่างเดียว ล้างและขัดเงา ล้างและขัดเงาและเป่าแห้งฯลฯ และขั้นต่อไปทำการนำรถเข้าไปในเครื่องล้างรถ (สังเกตว่าในส่วนนี้จะเกิดกลไกของผลสะท้อนกลับขึ้น ได้แก่การประเมินผลของเจ้าของรถที่มีต่อขบวนการล้างรถที่กำลังเกิดขึ้น) จากนั้นของฉีดของเหลวจะฉีดน้ำ สบู่เหลว หรือครีมขัดเงาไปที่รถ ขึ้นอยู่กับตัวเลือกที่เลือกไว้ในตอนต้น ส่วนที่แสดงผล คือรถที่สะอาดแล้วจากตัวอย่าง จะเห็นว่าส่วนประกอบอิสระต่างๆ ในระบบล้างรถอัตโนมัติ เช่นเครื่องฉีดของเหลว แปลงสำหรับทางโฟม และเครื่องเป่าแห้ง ทำงานโต้ตอบกัน เพื่อให้รถสะอาดนั่นเองระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์ (Computer-Based Information Systems : CBIS)ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์ประกอบด้วย ฮาร์ดแวร์ (Hardware), ซอฟต์แวร์ (Software), ข้อมูล(Data), บุคคล (People), ขบวนการ (Procedure) และการสื่อสารข้อมูล (Telecommunication) ซึ่งถูกกำหนดขึ้นเพื่อทำการรวบรวม, จัดการ จัดเก็บและประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ รูปที่ 4 แสดงส่วนประกอบของระบบ สารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์1. ฮาร์ดแวร์ คืออุปกรณ์ทางกายภาพ ที่ใช้ในการรวบรวม การนำเข้า และการจัดเก็บข้อมูล, ประมวลผล ข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ และแสดงสารสนเทศที่เป็นผลลัพธ์ออกมา 2. ซอฟต์แวร์ ประกอบด้วยกลุ่มของโปรแกรมที่ใช้ในการปฏิบัติงานร่วมกับฮาร์ดแวร์และใช้ในการประมวลผลข้อมูลเป็นสารสนเทศ3. ข้อมูล ในส่วนนี้หมายถึงข้อมูลและสารสนเทศที่ถูกเก็บอยู่ในฐานข้อมูล โดยฐานข้อมูล (Database) หมายถึงกลุ่มของค่าความจริงและสารสนเทศที่มีความเกี่ยวข้องกันนั่นเอง4. บุคคล หมายถึงบุคคลที่ใช้งานและปฏิบัติงานร่วมกับระบบสารสนเทศ5. ขบวนการ หมายถึงกลุ่มของคำสั่งหรือกฎ ที่แนะนำวิธีการปฏิบัติงานกับคอมพิวเตอร์ในระบบสารสนเทศ ซึ่งอาจได้แก่การแนะนำการควบคุมการเข้าใช้งานคอมพิวเตอร์, วิธีการสำรองสารสนเทศในระบบและวิธีจัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้6. การสื่อสารข้อมูล หมายถึงการส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์เพื่อติดต่อสื่อสาร และช่วยให้องค์กรสามารถเชื่อมระบบคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเครือข่าย (Network) ที่มีประสิทธิภาพได้ โดยเครือข่ายใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ไว้ด้วยกัน อาจจะเป็นภายในอาคารเดียวกัน ในประเทศเดียวกัน หรือทั่วโลก เพื่อให้สามารถสื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการบริหารระบบสารสนเทศที่มีการจัดการกับสารสนเทศและสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารให้เกิดประสิทธิผล เรียกว่าระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการ บริหาร โดยเน้นเรื่องการสนับสนุนการตัดสินใจในระดับการจัดการระดับต่างๆ ไม่เน้นที่การประมวลข้อมูลที่ได้จากการดำเนินการทางธุรกิจและเน้นที่โครงร่างของระบบควรจะถูกใช้ในการ จัดการการใช้งานระบบสารสนเทศ บทบาทของการจัดการในองค์กรระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ สนับสนุนบทบาทในการจัดการของผู้บริหาร ดังนี้1.การวางแผน (Plan) หมายถึง การกำหนดเป้าหมาย และกลยุทธ์ในการบริหารองค์กร2. การจัดการ (Organize) หมายถึง การจัดสรรทรัพยากรที่ต้องการนำมาใช้ในองค์กร3. การเป็นผู้นำ (Lead) หมายถึง การกระตุ้นพนักงาน เพื่อให้ปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมาย4. การควบคุม (Control) หมายถึง การควบคุมดูแล เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าไปยังเป้าหมายที่วางไว้จากบทบาทในการจัดการต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น สารสนเทศจึงเป็นส่วนที่สำคัญมากในการที่ผู้บริหารจะดำเนินงานเหล่านี้ให้สำเร็จ เช่น สารสนเทศเกี่ยวกับการขาย, การผลิตและการเงิน เพื่อที่จะนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ ควบคุมการปฏิบัติงานรายวันขององค์กร การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการจะต้องเป็นไปตามการจัดองค์กรและกลยุทธ์ขององค์กรนั้นๆ ผู้จัดการต้องเป็นผู้กระทำและจัดการพฤติกรรมขององค์กรเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เช่นการควบคุมองค์กรให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการทำงานหรือจะเป็นการตรวจสอบว่าบุคคลที่ได้รับมอบหมายงานไปนั้นสามารถปฏิบัติงานตามที่ต้องการได้หรือไม่ โดยอาจกำหนดให้มีการฝึกอบรมพนักงานก่อนเริ่มปฏิบัติงานนั้นๆ ผู้จัดการต่างๆ ต้องการสารสนเทศที่แตกต่างกัน เพื่อที่จะนำไปใช้ในการทำงานของตน ดังนั้นในส่วนต่อไปจะอธิบายถึงความต้องการของสารสนเทศของการจัดการในระดับต่างๆระดับของการจัดการและการดำเนินการระดับของการจัดการ (Levels of Management)การทำความเข้าใจระบบสารสนเทศแบบต่างๆ ภายในองค์กร และทราบว่าระบบต่างๆ สามารถรองรับความต้องการของการบริหารได้อย่างไร จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับระดับของการจัดการระดับต่างๆ ขององค์กรก่อน ซึ่งระดับของการจัดการแบ่งออกเป็นระดับกลยุทธ์ (Strategic), ระดับยุทธวิธี (Tactical), และระดับปฏิบัติการ(Operation) ดังแสดงในรูปที่ 6การปฏิบัติงานในระดับปฏิบัติการ (Operational)ได้แก่การปฏิบัติงานในระดับที่ต่ำที่สุด ผู้ควบคุมการทำงานในระดับนี้ ต้องการรายละเอียดสารสนเทศที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน ตามขบวนการผลิตของบริษัทในแต่ละวัน การควบคุมการปฏิบัติการในระดับนี้จะต้องพิจารณาหาวิธีที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยขบวนการตัดสินใจในระดับนี้ต้องการสารสนเทศเกี่ยวกับ งานที่จะต้องปฏิบัติ, ทรัพยากรที่มีอยู่ ความร่วมมือที่ต้องการจากส่วนปฏิบัติงานอื่นๆ ภายในองค์กร, มาตรฐานและงบประมาณที่สามารถใช้ได้, และผลสะท้อนกลับที่ใช้ในการประเมินผลลัพธ์ หน้าที่ของผู้จัดการในระดับปฏิบัติการ ได้แก่ ทำการตัดสินใจจากข้อมูลที่ถูกเก็บไว้, กำหนดหน้าที่ในการทำงาน, และตรวจสอบการขนส่งให้เป็นไปตามนโยบายหรือกฎที่ผู้จัดการระดับยุทธวิธีกำหนดไว้ โดยสารสนเทศที่ใช้ในการจัดการระดับนี้จะต้องมีรายละเอียดมาก, มีความแม่นยำสูงและเกิดขึ้นมาจากการทำงานที่เกิดขึ้นเป็นประจำและประกอบด้วยรายการข้อมูลรายวันที่แสดงถึงการผลิต, การขายและการเงินในแต่ละวันการปฏิบัติงานในระดับยุทธวิธี (Tactical)การควบคุมการจัดการในระดับยุทธวิธีจะเกี่ยวกับการจัดหาและการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดการระดับสูง ผู้จัดการในระดับนี้ทำหน้าที่ในการวางแผนงานสำหรับหน่วยปฏิบัติงานระดับล่าง เช่น ศูนย์กลางการขายและการผลิต เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร ผู้จัดการระดับกลางนี้ต้องการรายงานสรุปจากการปฏิบัติงานของบริษัท เพื่อใช้ในการ ตัดสินใจเชิงยุทธวิธี เพื่อที่จะปฏิบัติตามนโยบายการตัดสินใจที่ถูกกำหนดมาจากระดับบนหรือระดับกลยุทธ์ของบริษัท สิ่งสำคัญที่ผู้จัดการในระดับปฏิบัติการและระดับยุทธวิธีต้องการใช้ในการตัดสินใจได้แก่ รายงานสรุปที่ เหมาะสมกับความต้องการ โดยสารสนเทศในระดับนี้จะเป็นสารสนเทศที่เกิดขึ้นในระยะยาวมากขึ้น เช่น สารสนเทศเกี่ยวกับสถานภาพทางการเงินของบริษัท สามารถนำมาใช้ในการทำนายสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้แม่นยำมากขึ้นการปฏิบัติงานในระดับกลยุทธ์ (Strategic)การจัดการเชิงกลยุทธ์เกี่ยวข้องกับการกำหนดวัตถุประสงค์ขององค์กร โดยหน่วยงานต่างๆ จะต้องปฏิบัติตามกลยุทธ์ที่กำหนด เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร ผู้จัดการระดับกลยุทธ์จะทำการกำหนดนโยบายและตัดสินใจด้านการเงิน, ด้านบุคลากร, ด้านสารสนเทศและด้านแหล่งเงินทุนที่ต้องการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร การตัดสินใจที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวกับการกำหนดทิศทางขององค์กร รวมทั้งการผลิตสินค้าใหม่, ลงทุนในตลาดใหม่และการใช้เทคโนโลยีในการผลิตใหม่ๆ จากรูปที่ 5 (ในหน้าที่ผ่านมา) แสดงสัดส่วนระหว่างจำนวนบุคคลภายในองค์กร ที่ทำการตัดสินใจในระดับการจัดการระดับต่างๆ และแสดงความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจในทั้ง 3 ระดับ จากรูปสรุปได้ว่าในองค์กรจะมีผู้ที่ทำงานในระดับปฏิบัติการ(ทำงานในระดับล่าง) จำนวนมากและที่ระดับสูงขึ้น (ระดับยุทธวิธี) มีจำนวนผู้ทำงานน้อยลงและที่ระดับกลยุทธ์จะมีจำนวนน้อยที่สุด การตัดสินใจจะเกิดขึ้นจากระดับบนลงมาระดับล่าง การตัดสินใจของระดับล่างจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของระดับที่สูงกว่า ในขณะที่สานสนเทศที่ใช้ในการตัดสินใจจะเกิดขึ้นจากระดับล่างขึ้นไปสู่ระดับบน โดยสาสนเทศระดับบนเกิดจากการสรุปข้อมูลที่ได้จากระดับที่อยู่ต่ำกว่าระบบประมวลผลรายการ (Transaction Processing Systems)ระบบประมวลผลรายการ หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ใช้ในการเปลี่ยนข้อมูลดิบจากการปฏิบัติงานให้อยู่ในรูปแบบที่เครื่องจักรสามารถอ่านได้, เก็บรายละเอียดรายการ, ประมวลผลรายการและสั่งพิมพ์รายละเอียดรายการ ออกมาได้ รายการ (Transaction) คือ การกระทำพื้นฐานที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินการทางธุรกิจ เช่น การขายสินค้า การจองตั๋วเครื่องบิน การซื้อสินค้าผ่านเครดิตการ์ดและการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคงคลัง จัดเป็นรายการทั้งสิ้น ระบบประมวลผลรายการนิยมใช้ในการประมวลผลบัญชี, การขาย, หรือประมวลผลข้อมูลสินค้าคงคลัง เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้เป็นที่ต้องการของระบบสารสนเทศอื่นๆในองค์กรในการดำเนินการของระบบประมวลผลรายการ ข้อมูลถูกนำเข้าไปยังคอมพิวเตอร์ของระบบสารสนเทศ โดยใช้แป้นพิมพ์หรืออุปกรณ์อื่นๆ ข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์จนกระทั่งพร้อมที่จะถูกประมวลผล หลังจากที่ข้อมูลถูกป้อนเข้าไปแล้ว จะเกิดการประมวลผลเพื่อเปลี่ยนข้อมูลเป็นสารสนเทศที่มีประโยชน์ในการจัดการ โดยระบบประมวลผลรายการจะทำการบันทึกรายการลงในฐานข้อมูลและผลิตเอกสารที่เกี่ยวข้องกับรายการนั้นออกมา อาจอยู่ในรูปแบบของรายงาน, ตาราง, กราฟ,ภาพเคลื่อนไหว และเสียงฯลฯ ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้สารสนเทศนั้นๆระบบประมวลผลรายการสามารถแบ่งตามวิธีการประมวลผลข้อมูล ได้แก่1. ระบบการประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch Processing System) ข้อมูลจากหลายๆรายการ จากผู้ใช้หลายๆ คน หรือจากช่วงเวลาหลายๆ ช่วง ถูกรวมเข้าด้วยกัน, นำเข้า และประมวลผลเหมือนเป็นกลุ่มเดียว ตัวอย่างเช่น ยอดขายรายวันซึ่งถูกประมวลผลเพียงวันละหนึ่งครั้ง จะใช้ระบบการประมวลผลแบบกลุ่มนี้เมื่อข้อมูลไม่จำเป็นต้องปรับปรุงทันที และเมื่อมีข้อมูลจำนวนมากที่คล้ายกัน ต้องถูกประมวลผลในครั้งเดียวกัน2. ระบบการประมวลผลแบบออนไลน์ (Online Processing System) รายการถูกประมวลผลเมื่อเกิดรายการนั้นขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ2.1 การประมวลผลเชิงรายการ (Transactional Processing) ข้อมูลถูกประมวลผลเมื่อป้อนข้อมูลเข้าโดยไม่ต้องเก็บไว้ประมวลผลในภายหลัง เช่น ระบบเช็ครายการสินค้าออกของร้านขายของชำ โดยระบบจะทำการออกใบเสร็จรับเงินที่แสดงรายการสินค้าทันทีหลังจากรายการสินค้าต่างๆ ที่ซื้อ ถูกประมวลผล2.2 การประมวลผลแบบทันที (Real-time Processing) ใช้ในระบบควบคุม หรือระบบที่ต้องการให้เกิดผลสะท้อนกลับ เช่นขบวนการควบคุมอุณหภูมิของห้างสรรพสิน การทำงานของการประมวลผลแบบทันที สามารถไปมีผลกระทบกับตัวรายการนั้นๆ เอง ถ้าผู้ใช้หลายรายแข่งขันกันเพื่อใช้ทรัพยากรเดียวกัน เช่นที่นั่งบนเครื่องบิน หรือในชั้นเรียนพิเศษระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในการใช้การประมวลผลรายการทำให้การประมวลผลการดำเนินการด้านธุรกิจทำได้รวดเร็วขึ้นและลด ค่าใช้จ่ายในการควบคุมงานลงได้ แต่จะเห็นได้ชัดว่าข้อมูลที่เก็บได้จากการประมวลผลรายการ สามารถช่วยให้ผู้บริหารนำมาใช้ในการตัดสินใจในการดำเนินงานได้ดีขึ้น จึงจำเป็นต้องพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานด้านการจัดการของผู้บริหารขึ้นเรียกว่าระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการหมายถึงกลุ่มของบุคคล, ขบวนการ,ซอฟต์แวร์, ฐานข้อมูล และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ถูกจัดการเพื่อใช้ในการจัดการสารสนเทศที่เกิดขึ้นเป็นประจำให้แก่ผู้บริหารหรือผู้ทำการตัดสินใจ จุดประสงค์หลักของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ อยู่ที่การดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพในด้านการตลาด, การผลิต, การเงิน และส่วนงานอื่นๆ โดยใช้และจัดเก็บข้อมูลลงในฐานข้อมูลระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการเป็นระบบสารสนเทศที่ใช้ในการผลิตรายงานด้านการจัดการ ซึ่งจะใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจในระดับปฏิบัติงาน, ระดับยุทธวิธี และระดับกลยุทธ์ โดยรายงานที่เกิดขึ้นมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับระดับของการจัดการในองค์กรแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักคือรายงานตามตารางเวลา (Scheduled Report), รายงานกรณียกเว้น (Exception Report) และรายงานตามคำขอ (Demand Report)1. รายงานตามตารางเวลา แสดงข้อมูลการดำเนินงานขององค์กรที่เกิดขึ้นตามช่วงเวลา อาจจะเป็นช่วงรายวัน, รายสัปดาห์ รายเดือน หรือรายปี มีลักษณะคล้ายกับข้อมูลต้นฉบับที่ผ่านการประมวลผลมาจากหน่วยงานต่างๆ แต่เพิ่มการจัดกลุ่มข้อมูลและการสรุปข้อมูลลงไป เพื่อช่วยให้ผู้จัดการในระดับล่างสามารถตัดสินใจในการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ของผู้จัดการระดับสูงกว่าได้ ตัวอย่างเช่น ผู้จัดการด้านการผลิตต้องการรายงานรายวันของสินค้าที่มีตำหนิจากฝ่ายการผลิตและรายงานรายสัปดาห์ของจำนวนชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นั้น2. รายงานกรณียกเว้น เป็นรายงานที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขบางอย่าง ซึ่งมักจะไม่ปกติ จึงจำเป็นจะต้องมี รายงานออกมา โดยในรายงานจะมีข้อมูลที่จำเป็นต่อผู้จัดการในการตรวจสอบหาสาเหตุของข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเท่านั้น เช่น ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการทำการผลิตรายงานกรณียกเว้นเมื่อมีการทำงานล่วงเวลามากกว่า 10% ของเวลาการทำงานรวมทั้งหมด เมื่อผู้จัดการฝ่ายผลิตได้รับรายงาน จะทำการหาสาเหตุที่มีการทำงานล่วงเวลาเกินกว่าที่กำหนด ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากมีงานการผลิตมากหรือเกิดจากการวางแผนงานไม่ดี ถ้าเกิดขึ้นจากการวางแผนไม่ดีแล้วจะได้ทำการปรับปรุงแก้ไขแผนงานต่อไป3. รายงานตามคำขอ เกิดขึ้นตามคำขอของผู้จัดการในหัวข้อที่ต้องการ ซึ่งรายงานอาจจะถูกกำหนดมาก่อนแล้ว แต่ไม่ทำการผลิตออกมาหรืออาจเป็นรายงานที่มีผลมาจากเหตุการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนใน รายงานอื่น หรือจากข้อมูลภายนอก เช่น ถ้าผู้จัดการฝ่ายผลิตเห็นการทำงานล่วงเวลามากเกินกำหนดจากรายงานกรณียกเว้น อาจจะทำการร้องขอรายงานที่แสดงถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ในการทำให้เกิดการทำงานล่วงเวลาเกินกำหนด อาจจะได้แก่รายงานที่แสดงงานในด้านการผลิตทั้งหมด, จำนวนชั่วโมงที่ต้องการในการทำงานแต่ละงาน, และจำนวนการทำงานล่วงเวลาของแต่ละงาน จะเห็นว่ารายงานนี้จะต้องใช้ข้อมูลที่รวบรวมอยู่ในฐานข้อมูล เพื่อนำเสนอข้อมูลที่จำเป็นต่อผู้จัดการต่อไประบบสนับสนุนการตัดสินใจในความเป็นจริงแล้วรายงานชนิดต่างๆ ยังไม่สามารถตอบคำถามที่เกิดขึ้นในขบวนการตัดสินใจได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากรายงานเหล่านั้นยังไม่สามาถนำมาใช้ได้ทันต่อเหตุการณ์และยังไม่สามารถนำมาทดสอบเพื่อดูผลของการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้จัดการสามารถหาคำตอบของคำถามต่างๆ เพื่อทำการตัดสินใจด้วยการใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์หรือแผนภาพได้ดีขึ้น ความหมายของระบบสนับสนุนการตัดสินใจคือ ระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยผู้ตัดสินใจที่ต้องเผชิญกับปัญหาที่มีโครงสร้างระดับต่างๆ โดยสามารถทดสอบผลการตัดสินใจในการแก้ปัญหาด้วยตัวแบบข้อมูลและทำการวิเคราะห์ผลที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ระบบสนับสนุนการตัดสินใจช่วยในการตัดสินใจปัญหาได้หลากหลายรูปแบบ สามารถช่วยในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน เช่น ผู้ผลิตต้องการหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการสร้างโรงงานผลิตแห่งใหม่หรือโรงงานน้ำมันต้องการเลือกสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการขุดเจาะหาน้ำมัน ซึ่งจะเห็นว่าระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการทั่วไปไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ แต่ระบบสนับสนุนการตัดสินใจสามารถช่วยแนะนำทางเลือกในการปฏิบัติและช่วยในการตัดสินใจเพื่อหาคำตอบของปัญหาเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจยังเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจการบริหารรูปแบบต่างๆ ดังนั้นจึง จำเป็นต้องสามารถรองรับรูปแบบการตัดสินใจของผู้ใช้ที่หลากหลายด้วยส่วนประกอบที่จำเป็นของระบบสนับสนุนการตัดสินใจได้แก่ กลุ่มของตัวแบบที่ใช้สนับสนุน ผู้ตัดสินใจหรือผู้ใช้ (Model base), กลุ่มของค่าความจริงและสารสนเทศที่ช่วยในการตัดสินใจ (Database), และระบบและขบวนการที่ช่วยให้ผู้ตัดสินใจและผู้ใช้อื่นๆ สามารถตอบโต้กับระบบสนับสนุนการตัดสินใจได้ (User Interface) จากรูปจะเห็นว่าผู้ใช้ไม่ได้ทำการใช้ตัวแบบโดยตรง แต่จะใช้งานผ่านซอฟต์แวร์จัดการตัวแบบ (Model Management Software : MSS) และใช้ฐานข้อมูลผ่านระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Mangement System :DBMS)ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระบบสนับสนุนการตัดสินใจมีจุดประสงค์เพื่อแก้ปัญหาและตอบคำถามลักษณะ "อะไรจะเกิดขึ้นถ้า…" หรือลักษณะต้องทำอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการและคำถามในลักษณะมีความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ที่ ตัดสินใจและต้องการใช้ระบบนี้ส่วนมากมักจะเป็นผู้บริหารระดับกลางซึ่งจะต้องเกี่ยวข้องับปัญหาและการทำงานหลัก แต่สารสนเทศที่ได้จากระบบสนับสนุนการตัดสินใจมักจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริหารระดับสูงได้ เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงต้องมองในระดับกว้างขององค์กรและผู้บริหารมีเวลาน้อย ระบบสารสนเทศเพื่อ ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องใช้งานง่ายและสารสนเทศที่ได้จากระบบจะต้องอยู่ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย แหล่งข้อมูลที่ใช้อาจจะมาจากแหล่งข้อมูลภายนอกและแหล่งข้อมูลภายในเช่นระบบประมวลผลรายการหรือระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ทำให้ผู้บริหารระดับสูงสามารถหาสาเหตุที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ต่างๆได้ ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารมีประสิทธิภาพและความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลสูงด้วยการใช้เครื่อง เมนเฟรม ใช้งานง่ายและมีความสามารถในการแสดงผลด้วยรูปภาพได้ด้วยการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยสารสนเทศถูกถ่ายโอนจากเครื่องเมนเฟรมหรือฐานข้อมูลข้อมูลภายนอกเข้ามายังเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และผู้บริหารสามารถใช้อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งเช่น เมาส์ เพื่อเลือกจากรายการของผลลัพธ์และรูปแบบการแสดงผลได้ เนื่องจากผู้บริหารมักจะทำการค้นหาข้อมูลและตอบคำถามที่ต้องการมากกว่าการป้อนข้อมูล ในระบบสารสนเทศเพื่อ ผู้บริหารนี้จึงไม่นิยมใช้แป้นพิมพ์ ผลลัพธ์ที่ได้มักจะอยู่ในรูปแบบของแผนภาพหรือแผนภาพและตาราง ทำให้ผู้บริหารสามารถเข้าใจแนวโน้มและนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ตัดสินปัญหาได้ตรงตามความต้องการระบบผู้เชี่ยวชาญระบบผู้เชี่ยวชาญได้รับความสำเร็จได้ด้วยการนำคุณสมบัติทางด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ซึ่งเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีคุณลักษณะความฉลาดเหมือนกับมนุษย์ เข้ามาใช้ร่วมด้วย ระบบผู้เชี่ยวชาญช่วยในการตัดสินใจได้โดยขบวนการทางคอมพิวเตอร์ที่ทำการรวบรวมเหตุผลทางตรรกะเข้าด้วยกัน ซึ่งระบบผู้เชี่ยวชาญเรียกใช้ความรู้เฉพาะด้านหนึ่งๆ ได้จากฐานความรู้ (Knowledge Base) ขึ้นอยู่กับค่าความจริงของเหตุการณ์ใดๆ ที่ต้องการตัดสินใจ ผ่านกลไกในการสรุปข้อมูลและให้เหตุผล เพื่อให้คำแนะนำพร้อมทั้งมีคำอธิบายของคำแนะนำแก่ผู้ใช้ด้วย โครงสร้างของระบบผู้เชี่ยวชาญส่วนประกอบที่จำเป็นของฐานความรู้คือ ฮิวริสติก (Heuristic) ซึ่งหมายถึงส่วนของความรู้ภายในขอบเขตของระบบผู้เชี่ยวชาญในด้านการตัดสินใจ ซึ่งไม่มีรูปแบบตายตัว เช่นการสำรวจน้ำมันหรือการประเมินราคาหุ้น โดยฐานความรู้จะถูกพัฒนาขึ้นโดยการนำความรู้และความเชี่ยวชาญมาจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ต้องการ ระบบผู้เชี่ยวชาญสามารถนำไปใช้ร่วมกับระบบสารสนเทศในองค์กรทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นระบบการประมวลผลรายการ, ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการหรือในระบบสนับสนุนการตัดสินใจหรือจะใช้เป็นเครื่องมือในการให้ คำแนะนำเดี่ยวๆ เลยก็ได้ ตัวอย่างเช่น การนำระบบผู้เชี่ยวชาญมาใช้ร่วมกับระบบประมวลผลรายการสำหรับการสั่งซื้อสินค้า ระบบผู้เชี่ยวชาญอาจกำหนดราคาสั่งซื้อโดยการพิจารณาจากกลุ่มลูกค้า, ปริมาณการสั่งซื้อและรายการส่งเสริมการขายที่มีอยู่ทั้งหมดของสินค้าที่ถูกสั่งซื้อนั้น เนื่องจากบริษัทต่างๆมีรายการส่งเสริมการขายที่แตกต่างกัน มีทั้งแบบในระยะเวลาสั้นๆ, แบบที่ให้เฉพาะบางพื้นที่ฯลฯ ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่ง่ายนักสำหรับพนักงานรับสั่งสินค้าที่จะสามารถจัดการแจ้งให้ลูกค้าทราบได้ทันทีทางโทรศัพท์ ความยุ่งยากของงานเหล่านี้มีมากมายจึงมีการนำระบบผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย จัดการ แต่ในความเป็นจริงแล้วระบบผู้เชี่ยวชาญมิได้เข้ามาแทนที่ผู้เชี่ยวชาญระบบตัวจริง เพียงแต่ช่วยให้ผู้ตัดสินใจ ทำการตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเท่านั้นระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการระบบที่นำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่ผู้บริหารสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียกว่าระบบ สารสนเทศเพื่อการจัดการ ซึ่งข้อมูลส่วนที่นำเข้าส่วนมาก ได้แก่ข้อมูลจากระบบประมวลผลรายการ ซึ่งถูกนำเข้าไปยังระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการขององค์กรเพื่อผลิตรายงานต่างๆ ออกมา ทำให้ผู้จัดการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้นแนวคิดของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการจุดประสงค์หลักของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการคือ ช่วยให้องค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ได้โดยช่วยให้ ผู้บริหารสามารถเห็นการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อที่จะควบคุม, จัดการและวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลหรือกล่าวได้ว่า ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ช่วยนำเสนอข้อมูลของผู้บริหารเพื่อใช้ในการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยจัดการผลสะท้อนกลับที่เกิดขึ้นในการดำเนินงานรายวันได้ ตัวอย่างเช่นระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการผลิต คือกลุ่มของระบบที่รวมกันเพื่อช่วยให้ผู้บริหารสามารถตรวจสอบขบวนการผลิต เพื่อให้เกิดการใช้วัตถุดิบในการผลิตที่มีอยู่ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด โดยการตรวจสอบนี้ทำได้โดยดูจากรายงานสรุปที่ได้จากระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ รายงานเหล่านี้สามารถได้มาจากการกรองและการวิเคราะห์รายละเอียดข้อมูลที่อยู่ในฐานข้อมูลการประมวลผลรายการและแสดงผลข้อมูลที่ได้ในรูปแบบที่มีความหมายหรือรูปแบบที่เข้าใจได้ง่ายต่อ ผู้บริหาร เพื่อใช้ในการตัดสินใจ รูปที่ 11 แสดงบทบาทของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ที่มีต่อการไหลของ สารสนเทศภายในองค์กร สังเกตว่ารายการทางธุรกิจสามารถเข้ามาในองค์กรผ่านวิธีการทั่วไป, ผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือผ่านทางเอ็กทราเน็ตที่ติดต่อลูกค้าและแหล่งผลิตเข้ากับระบบประมวลผลรายการของบริษัทก็ได้รายงานสรุปจากระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลสำหรับ ผู้บริหาร ซึ่งจะเห็นว่าระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการสามารถใช้ได้ในทุกๆ ระดับของการจัดการ ไม่ว่าจะเป็นในระดับพนักงานไปจนกระทั่งถึงระดับองค์กรก็ตาม ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการแต่ละระบบจะประกอบด้วยกลุ่มของระบบย่อย ซึ่งทำหน้าที่ในการดำเนินงานเฉพาะอย่างภายในองค์กร ดังนั้นระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการเงินจะมีระบบย่อยที่ทำการออกรายงานด้านการเงิน, ระบบย่อยที่ทำการวิเคราะห์ผลกำไรและขาดทุน, วิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและระบบย่อยที่ทำการใช้และบริหารเงินทุน ระย่อยต่างๆ สามารถใช้ทรัพยากรด้านฮาร์ดแวร์, ข้อมูล และบุคคลร่วมกันได้ ถึงแม้การใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการจะเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจให้กับผู้บริหารได้ แต่บทบาทสำคัญที่ทำให้ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการสามารถเพิ่มประสิทธิผลให้กับองค์กรได้ก็คือ ช่วยในการจัดการข้อมูลที่ ถูกต้องให้กับบุคคลที่ถูกต้อง ในรูปแบบและเวลาที่เหมาะสมส่วนที่นำเข้าไปในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการข้อมูลที่เข้าไปยังระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมาจากแหล่งข้อมูลภายในและภายนอก แหล่งข้อมูลภายในที่สำคัญมาจากระบบการประมวลผลรายการ ซึ่งการทำงานหลักของระบบประมวลผลรายการได้แก่การจัดเก็บข้อมูล ผลลัพธ์ที่ได้จากการดำเนินรายการทางธุรกิจ ซึ่งเมื่อเกิดรายการทางธุรกิจใดๆ ขึ้นระบบประมวลผลรายการจะต้อง ปรับปรุงข้อมูลที่อยู่ในฐานข้อมูลด้วยเสมอ ตัวอย่างเช่น โปรแกรมการออกบิลช่วยเก็บฐานข้อมูลของบัญชีรายรับ ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงเพื่อให้บริหารทราบว่าลูกค้ารายใดบ้างที่เป็นหนี้บริษัท ฐานข้อมูลที่ปรับปรุงแล้วเหล่านี้เป็นแหล่งกำเนิดข้อมูลภายในพื้นฐาน เพื่อใช้ในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ชุดโปรแกรมทางด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรือข้อมูลภายในจากส่วนงานเฉพาะด้านอื่นๆ ของบริษัทก็สามารถนำเข้าข้อมูลที่สำคัญมาสู่ระบบได้เช่นกัน แหล่งข้อมูล ภายนอกได้แก่ ลูกค้า, แหล่งผลิต, คู่แข่งและผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลที่ยังไม่ผ่านการประมวลผลรายการ และแหล่งข้อมูลอื่นๆ หลายๆ บริษัทพยายามที่จะนำเอ็กทราเน็ตเข้ามาใช้เชื่อมโยงแหล่งข้อมูลภายนอกต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและสารสนเทศ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการใช้ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งกำเนิดเหล่านี้และประมวลผลให้กลายเป็น สารสนเทศที่ผู้บริหารสามารถนำไปใช้ได้ ซึ่งมักจะอยู่ในรูปแบบของรายงานนั่นเองผลลัพธ์ของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการผลลัพธ์ที่ได้จากระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการคือกลุ่มของรายงานซึ่งจะถูกส่งไปให้กับผู้บริหารรายงาน เหล่านี้ได้แก่1. รายงานตามตารางเวลา (Schedules Reports) เป็นรายงานที่เกิดขึ้นตามช่วงเวลา หรือตามตารางเวลา เช่นรายวัน รายสัปดาห์หรือรายเดือน ตัวอย่างเช่น ผู้จัดการฝ่ายผลิตต้องการใช้รายงานรายสัปดาห์ เพื่อแสดงรายการค่าใช้จ่ายด้านค่าแรงรวม เพื่อตรวจสอบและควบคุมค่าใช้จ่ายของงานและแรงงาน รายงานตามตารางเวลาสามารถช่วยให้ ผู้บริหารควบคุมเครดิตของลูกค้า, ประสิทธิภาพของตัวแทนจำหน่าย, ระดับสินค้าคงคลังได้2. รายงานแสดงส่วนประกอบสำคัญ (Key Indicator Reports) สรุปการปฏิบัติงานที่วิกฤติของวันก่อนหน้าและยังคงมีอยู่ในตอนต้นของแต่ละวันทำงาน รายงานเหล่านี้สามารถสรุประดับของสินค้าคงคลัง, งานในการผลิต, ปริมาณการขายฯลฯ ใช้สำหรับผู้จัดการและผู้บริหารระดับสูงที่ต้องการความรวดเร็ว ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้อง3. รายงานตามคำขอ (Demand Reports) ให้ข้อมูลตามที่ผู้จัดการร้องขอ ตัวอย่าง เช่น เมื่อผู้บริหารระดับสูงต้องการทราบการผลิตของสินค้ารายการหนึ่ง ก็จะทำการสร้างรายงานตามความต้องการนี้ออกมา4. รายงานกรณียกเว้น (Exception Reports) เป็นรายงานที่ถูกผลิตออกมาอย่างอัตโนมัติ เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่ปกติเกิดขึ้นหรือเมื่อต้องการใช้ในการดำเนินการบริหาร 5. รายงานแบบเจาะลึกรายละเอียด (Drill Down Report) ให้รายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวกับสถานการณ์หนึ่งๆคุณลักษณะของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการรายงานแบบต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นช่วยผู้จัดการและผู้บริหารระดับสูงในการตัดสินใจได้ดีขึ้นและทันเวลามากขึ้น โดยทั่วไประบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมีหน้าที่และคุณลักษณะ ดังนี้1. ผลิตรายงานในรูปแบบที่กำหนดและรูปแบบมาตรฐาน เช่น รายงานตามตารางเวลาสำหรับควบคุมสินค้าคงคลัง อาจจะประกอบด้วยสารสนเทศชนิดเดียวกัน อยู่ในตำแหน่งเดียวกันในรายงาน เนื่องจาก ผู้จัดการคนละคน อาจใช้รายงานเดียวกันเพื่อจุดประสงค์ที่แตกต่างกันได้ 2. ผลิตรายงานในรูปแบบของเอกสารหรือไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ รายงานบางรายงานสามารถถูกพิมพ์ลงบนกระดาษ เรียกว่าเป็นรายงานฉบับตัวจริง (Hard-copy) ส่วนรายงานที่อยู่ในรูปเสมือนจริง (Soft-copy) มักจะแสดงผลผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยผู้จัดการสามารถเรียกรายงานที่ต้องการขึ้นมาแสดงบนหน้าจอโดยตรงได้ แต่รายงานนั้นยังคงปรากฏในรูปแบบมาตรฐานเหมือนรายงานที่พิมพ์ออกมาจริงๆ 3. ใช้ข้อมูลภายในที่เก็บอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ รายงานในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ใช้แหล่งข้อมูลภายในที่อยู่ในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์และบางระบบใช้แหล่งข้อมูลภายนอกเกี่ยวกับคู่แข่ง, โลกธุรกิจฯลฯ แหล่งข้อมูล ภายนอกที่นิยมใช้ได้แก่ แหล่งข้อมูลในอินเทอร์เน็ตนั่นเอง4. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างรายงานในรูปแบบที่ต้องการได้ ในขณะที่นักวิเคราะห์และนักเขียนโปรแกรมทำการพัฒนาและการใช้รายงานที่ซับซ้อนซึ่งต้องการใช้ข้อมูลจากหลายๆ แหล่งได้ ผู้ใช้ทั่วไปก็สามารถพัฒนาโปรแกรมอย่างง่ายในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการและผลิตออกมาเป็นรายงานได้ด้วยตนเองเช่นกัน5. ต้องการการร้องขออย่างเป็นทางการจากผู้ใช้ เมื่อฝ่ายสารสนเทศส่วนบุคคลต้องการพัฒนาและนำรายงานไปใช้จริง จำเป็นจะต้องมีการร้องขออย่างเป็นทางการไปยังแผนกระบบสารสนเทศก่อน ส่วนรายงานที่ผู้ใช้ทั่วไปพัฒนาขึ้นเองไม่จำเป็นต้องมีการร้องขออย่างเป็นทางการส่วนประกอบของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการส่วนประกอบของระบบสารสนเทศมี 5 ส่วนหลักดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นคือ ฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์, ข้อมูล, ขบวนการ และบุคลากร โดยแต่ละส่วนมีความสัมพันธ์กัน ในการนำระบบสารสนเทศเข้ามาใช้เพื่อการจัดการมักจะแบ่งส่วนตามการทำงานหลัก ซึ่งอาจจะเห็นได้จากแผนผังองค์กร ทำให้ทราบได้ว่าองค์กรนั้นๆ แบ่งส่วนการทำงานอย่างไร ส่วนการทำงานหลักที่มักจะปรากฏให้เห็นในองค์กรทั่วไปได้แก่ ฝ่ายบัญชี, การเงิน, การตลาด, บุคคล ฝ่ายพัฒนาและวิจัย, ฝ่ายกฎหมาย , ฝ่ายระบบสารสนเทศ เป็นต้น ในแต่ละฝ่ายก็จะมีระดับการจัดการต่างๆ (กลยุทธ์, ยุทธวิธี, และการดำเนินงาน) จึงเรียกการแบ่งการจัดการตามส่วนการทำงานว่าการแบ่งตามแนวตั้ง ส่วนการแบ่งตามระดับการจัดการเรียกว่าการแบ่งตามแนวนอน แต่ละส่วนการทำงานจะมีระบบย่อยที่ทำงานเฉพาะด้านของตนเอง แต่อาจมีการใช้ข้อมูลร่วมกันได้ รูปที่ 13 แสดงระบบ สารสนเทศที่รวมส่วนการทำงานต่างๆ ไว้ด้วยกัน โดยแต่ละส่วนสนับสนุนการทำงานที่ต่างกันออกไป จากรูปแสดงให้เห็นว่าแต่ละระบบสารสนเทศภายในองค์กรต่างก็ทำงานเฉพาะด้านของตนเอง รายงานแต่ละประเภทที่ได้จากระบบสารสนเทศฝ่ายต่างๆ เช่น ฝ่ายบัญชี การเงินหรือการตลาด ก็จะเหมาะกับระดับการจัดการที่แตกต่างกันออกไปจะเห็นว่าระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการของฝ่ายต่างๆ จะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันกลายเป็นระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการขององค์กร ดังแสดงในรูปที่ 13 อย่างไรก็ตามข้อมูลจากฝ่ายการทำงานต่างๆ จะถูกรวบรวมเข้าไว้ในฐานข้อมูลกลางดังรูปที่ 14 ซึ่งฐานข้อมูลนี้นอกจากจะช่วยทำให้เกิดการรวมกันของระบบสารสนเทศต่างๆ แล้ว ยังช่วยให้เกิดการรวมกันของระบบประมวลผลรายการขององค์กรด้วย ซึ่งข้อดีของการรวมระบบงานต่างๆ เข้าด้วยกันก็คือ สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ง่าย ซึ่งจะทำให้ลดค่าใช้จ่าย, ได้รายงานที่มีความแม่นยำมากขึ้น, มีความปลอดภัยของ ข้อมูลมากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรอีกด้วยระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและขบวนการทางธุรกิจระบบสารสนเทศสามารถนำเข้ามาใช้ในการดำเนินงานทางธุรกิจด้านต่างๆ ดังนั้นในส่วนต่อไปจะเป็นการอธิบายถึงการนำระบบสารสนเทศเข้ามาใช้ในเพื่อการจัดการด้านการเงิน, การผลิต, การตลาด, ด้านทรัพยากรมนุษย์ และด้านบัญชีระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการเงินทำหน้าที่ในการจัดการสารสนเทศด้านการเงินให้แก่ผู้บริหารและกลุ่มบุคคลซึ่งต้องการทำการตัดสินใจได้ดีขึ้นและช่วยในการหาโอกาสและปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดย ระบบสารสนเทศด้านการเงินนิยมใช้รวมเข้ากับซอฟต์แวร์ ในการวางแผนทรัพยากรขององค์กร (Enterprise Resource Planning : ERP) ซึ่งเป็นกลุ่มของโปรแกรมที่จัดการ วิเคราะห์และติดตามการดำเนินธุรกิจของแหล่งผลิตหรือสาขาต่างๆ ขององค์กร เพื่อให้แน่ใจว่าสารสนเทศด้านการเงินในการปฏิบัติงาน สามารถนำไปใช้สนับสนุนความสามารถในการตัดสินใจให้แก่บุคคลที่ต้องการได้ทันเวลา ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการเงินมีความสามารถการทำงานดังต่อไปนี้1. รวบรวมสารสนเทศด้านการเงินและการดำเนินงานจากแหล่งต่างๆ รวมทั้งจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเข้าไว้ในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการเพียงระบบเดียว2. สนับสนุนผู้ใช้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับด้านการเงินและผู้ใช้อื่นๆ ของบริษัท ให้สามารถเรียกใช้ข้อมูลและ สารสนเทศทางด้านการเงินผ่านทางเครือข่ายในองค์กรได้ง่าย 3. เตรียมข้อมูลด้านการเงินที่มีอยู่ให้พร้อมต่อการใช้งาน เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว4. สามารถวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเงินได้หลายมิติ เช่น วิเคราะห์ตามช่วงเวลา, ภูมิประเทศ, ผลิตภัณฑ์, โรงงานผลิต หรือลูกค้าได้5. วิเคราะห์การดำเนินงานด้านการเงินที่ผ่านมาและที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้6. ติดตามและควบคุมการใช้เงินทุนได้ตลอดเวลารูปที่ 15 แสดงส่วนนำเข้า, ระบบย่อยภายใน และผลลัพธ์ของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการเงินส่วนที่นำเข้าไปยังระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการเงินส่วนที่นำเข้าไปในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการเงิน ได้แก่1. แผนเชิงกลยุทธ์และนโยบายของบริษัท ในแผนกลยุทธ์จะประกอบด้วย วัตถุประสงค์ด้านการเงินของบริษัท เช่น เป้าหมายของผลกำไรที่ต้องการ,อัตราส่วนของหนี้สินและเงินกู้, ค่าคาดหวังของผลตอบแทนที่ต้องการ เป็นต้น2. ระบบประมวลผลรายการ สารสนเทศด้านการเงินที่สำคัญจะมาจากโปรแกรมการประมวลผลรายการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โปรแกรมเงินเดือน, โปรแกรมควบคุมสินค้าคงคลัง, โปรแกรมสั่งซื้อสินค้า, โปรแกรมบัญชีรายรับ-รายจ่าย, และโปรแกรมใบสั่งซื้อ ทั่วไป โดยข้อมูลที่ได้จากโปรแกรมเหล่านี้ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนรวม, เงิน ลงทุนในคลังสินค้า, ยอดขายรวม, ปริมาณเงินที่จ่ายให้กับแหล่งผลิตสินค้า, ปริมาณหนี้รวมของลูกค้าที่มีต่อบริษัทและรายละเอียดข้อมูลบัญชีต่างๆ โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปสร้างเป็นรายงายด้านการเงิน เพื่อใช้ในการตัดสินใจต่อไป3. แหล่งข้อมูลภายนอก ได้แก่ สารสนเทศเกี่ยวกับคู่แข่งขัน อาจได้มาจากรายงานประจำปีของบริษัทคู่แข่ง, หนังสือพิมพ์, สื่อต่างๆ เช่นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงสารสนเทศเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศหรือของโลก เช่น สภาวะเงินเฟ้อ, อัตราภาษี เหล่านี้เป็นต้นระบบย่อยและผลที่ได้จากระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการเงินระบบย่อยในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการเงิน ขึ้นอยู่กับองค์กรและความต้องการขององค์กรนั้น โดยอาจประกอบด้วยระบบภายในและระบบภายนอกที่ช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลทางธุรกิจของบริษัท เช่น ระบบการจัดหา, การใช้, และการควบคุมเงินสด, ระบบเงินทุนและแหล่งการเงินอื่นๆ และอาจจะประกอบด้วย ระบบย่อยในการหากำไร/ขาดทุน, ระบบบัญชีค่าใช้จ่ายและระบบการตรวจสอบ โดยระบบต่างๆ เหล่านี้จะทำงานประสานกับระบบประมวลผลรายการ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ผู้จัดการด้านการเงินสามารถนำไปใช้ตัดสินใจได้ดีขึ้น ดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้จากระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการเงิน ได้แก่ รายงานด้านการเงินต่างๆ เช่น รายงานกำไร/ขาดทุน, รายงานระบบค่าใช้จ่าย, รายงานการตรวจสอบภายในและภายนอกและรายงานการใช้และการจัดการเงินทุน เป็นต้นระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการผลิตขบวนการในการผลิตประกอบด้วยงานที่ขึ้นต่อกันมากมาย โดยการนำระบบการวางแผนทรัพยากรของ องค์กรมาใช้ร่วมในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการผลิตจะช่วยให้การทำงานมีความยืดหยุ่นและมีการจัดหาทรัพยากรที่ต้องการใช้ได้ทันต่อความต้องการ โดยจุดประสงค์ของขบวนการผลิตก็คือการผลิตได้ตรงตามความพอใจหรือความต้องการของลูกค้านั่นเอง ในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการผลิต ภาระของผู้บริหารในการดูแลควบคุมงานจะถูกลดลงไป, งานด้านเอกสารต่างๆ จะถูกปรับให้อยู่ในรูปของขบวนการออนไลน์และการติดต่อสื่อสารข้อมูลจะใช้งานผ่านระบบการ แลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแทน อีกทั้งในการวางแผนการใช้ทรัพยากรของ องค์กรเพื่อการผลิตจะใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายอินทราเน็ตในองค์กร เพื่อติดต่อกับหน่วยงานธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อปฏิบัติงานและงานควบคุมงานต่างๆ ทั้งแบบศูนย์กลางและแบบกระจายได้ ส่วนที่นำเข้าไปยังระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการผลิตส่วนที่นำเข้าจะได้จากกการปฏิบัติงานซึ่งเกี่ยวกับการไหลเวียนและการแปลงวัตถุดิบภายในองค์กร แหล่ง สารสนเทศที่สำคัญอาจมาจากภายนอกองค์กรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะมาจากภายใน เช่น1. แผนเชิงกลยุทธ์และนโยบายของบริษัท ซึ่งจะเป็นส่วนที่กำหนดทิศทางของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการผลิต เช่นเอกสารเกี่ยวกับการวางแผนระยะยาวที่กล่าวถึงเรื่องคุณภาพ, การผลิต, และเป้าหมายและข้อจำกัดในการให้บริการ รวมถึงนโยบายในการเปิดโรงงานใหม่หรือการปิดโรงงานเก่าลงและเรื่องของความสามารถในการผลิตที่เพิ่มขึ้นได้, ข้อจำกัดของจำนวนพนักงานที่มี, การเปลี่ยนนโยบายการเก็บสินค้าคงคลัง และโปรแกรมการควบคุมคุณภาพใหม่ที่ต้องการใช้ เหล่านี้จัดเป็นสารสนเทศที่นำเข้าสู่ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการผลิต2. ระบบประมวลผลรายการ ได้แก่ข้อมูลที่ได้จากระบบประมวลผลรายการด้านต่างๆที่เกี่ยวข้อในการผลิต ได้แก่ การประมวลผลการสั่งซื้อ, ข้อมูลสินค้าคงคลัง, ข้อมูลการรับและการตรวจสอบวัตถุดิบที่เข้ามาในขบวนการผลิต, ข้อมูลบุคลากร, และข้อมูลขบวนการผลิต3. แหล่งข้อมูลภายนอก ได้แก่ ข้อมูลขบวนการในการผลิตใหม่ๆ ซึ่งอาจมาจากบริษัท, วารสาร และสิ่งพิมพ์อื่นๆ หรือได้จาก เครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือข้อมูลเกี่ยวกับสภาพวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้สามารถคาดเดาในเรื่องของแรงงาน และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับวัตถุดิบได้ นอกเหนือจากนี้ยังมีแหล่งข้อมูลภายนอกอื่นๆ อีก เช่น องค์กรผู้เชี่ยวชาญต่างๆ, สมาคมทางธุรกิจ ซึ่งสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับคู่แข่งขัน ทั้งในด้านขบวนการผลิตและกลุ่มลูกค้าใหม่ๆที่น่าสนใจได้ระบบย่อยและผลที่ได้จากระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการผลิตระบบย่อยและผลลัพธ์ที่ได้จากระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการผลิต ได้แก่ การตรวจสอบและควบคุมการไหลเวียนของวัตถุดิบ, สินค้า และบริการต่างๆภายในองค์กร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตสินค้าได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า ตั้งแต่เริ่มขบวนการนำวัตถุดิบมาผ่านขั้นตอนการผลิตจนกระทั่งเสร็จเป็นสินค้าและบริการที่จะส่งไปยังลูกค้า โดยที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ระบบย่อยและผลลัพธ์ที่ได้จากระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการผลิต ได้แก่1. การออกแบบและการปฏิบัติเชิงวิศวกรรม (Design and Engineering) ได้แก่การพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ โดยสามารถใช้ระบบการออกแบบโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย (Computer-Aided Design : CAD) ซึ่งเป็นการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ โดยผู้ใช้สามารถออกแบบและแก้ไข ตัวแบบได้เองบนจอภาพ 2. การจัดตารางการผลิต (Production Planning) เพื่อจัดการรายละเอียดแผนงานการผลิตทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยใช้ซอฟต์แวร์ที่ทำงานในด้านนี้เข้ามาช่วย ซึ่งในซอฟต์แวร์นี้อาจมีคุณสมบัติในการทำนายและพิจารณาหาความต้องการของสินค้าและบริการที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ทำให้สามารถวางแผนเพื่อกำหนดการผลิตให้ได้ตรงตามความต้องการ 3. การควบคุมสินค้าคงคลัง (Inventory Control) ได้แก่การใช้ซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการสั่งซื้อ, การทำนาย, การผลิตเอกสารและรายงานร้านค้า, การพิจารณาหาค่าใช้จ่ายในการผลิต, การวิเคราะห์งบประมาณค่าใช้จ่ายที่วางไว้เปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายจริง, และการพัฒนาตารางการผลิต, บอกความต้องการทรัพยากรในการผลิตและวางแผนการผลิตได้อย่างอัตโนมัติ โดยปกติแล้วซอฟต์แวร์ต่างๆเหล่านี้จะมีสูตรในการคำนวณเพื่อหาจำนวนวัตถุดิบและช่วงเวลาที่จะต้องสั่งซื้อได้ วิธีการหาว่าต้องสั่งสินค้ามาไว้ในคลังปริมาณเท่าใดเรียกว่าวิธีการกาปริมาณหารสั่งซื้อมางเศรษฐกิจ (Economic Order Quantity : EOQ) โดยปริมาณที่หาได้นี้จะต้องทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุดด้วย ส่วนการหาว่าต้องสั่งสินค้ามาไว้ในคลังเมื่อใดจะใช้วิธีการหาจุดสั่งซื้อเพิ่ม Reorder Point : ROP) ซึ่งแสดงถึงค่าระดับปริมาณสินค้าคงคลังที่วิกฤติ 4. การวางแผนการใช้ทรัพยากรการผลิต(Manufacturing Resource Planning : MRPII) ได้แก่ระบบที่ใช้การวางแผนเครือข่ายเพื่อให้บุคคลต่างๆ สามารถดำเนินธุรกิจเพื่อให้บริการและผลผลิตแก่ลูกค้าได้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่เสียค่าใช้จ่ายและมีสินค้าหรือวัตถุดิบในคลังสินค้าในปริมาณต่ำ โดยมีการทำนายความต้องการของลูกค้า, การควบคุมสินค้าคงคลัง, การวางแผนการผลิต, การแสดง รายการวัตถุดิบที่ต้องใช้, การวางแผนการสรรหาแหล่งวัตถุดิบที่ต้องใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ จะถูกส่งไปให้แก่ลูกค้าได้ในเวลาที่ต้องการ 5. การควบคุมสินค้าและการผลิตที่ทันเวลา (Just-in-Time Inventory and Manufacturing) การเก็บสินค้าและวัตถุดิบในคลังสินค้าเป็นจำนวนมากทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูง และอาจเกิดการเสียหายได้ ดังนั้นวัตถุประสงค์หนึ่งของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการผลิตก็คือ การควบคุมสินค้าคงคลังให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด โดยไม่กระทบกับความต้องการในการนำสินค้าหรือวัตถุดิบนั้นไปใช้ในการผลิต วิธีที่นิยมใช้ได้แก่วิธีการควบคุมคลังสินค้าแบบทันเวลา (Just-in-Time : JIT Inventory Approach) ซึ่งสินค้าและวัตถุดิบจะถูกส่งไปให้ในช่วงเวลาก่อนที่จะสินค้าหรือวัตถุดิบนั้นไปใช้ในการผลิต ทำให้ไม่ต้องเก็บไว้ในคลังสินค้าเป็นช่วงเวลานานๆ 6. การควบคุมขบวนการผลิต ในการควบคุมการผลิตมีเทคโนโลยีที่สนับสนุนมากมาย เช่น การผลิตโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย (Computer-Aided Manufacturing : CAM) เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการด้านการผลิต เช่น การตรวจสอบและติดตาม ได้แก่การควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ในการผลิตต่างๆ การตรวจสอบค่าและข้อกำหนดในการผลิตต่างๆ เช่น อุณหภูมิที่ใช้ ค่าความดันอากาศฯลฯ หรือใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการกำหนดรหัสสินค้า การจัดลำดับในขบวนการผลิต เป็นต้น 7. การนำคอมพิวเตอร์เข้าไปช่วยในการผลิต (Computer-Integrated Manufacturing : CIM) ได้แก่การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมโยงองค์ประกอบต่างๆในขบวนการผลิตเข้าด้วยกันเป็นระบบที่มี ประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรวมขั้นตอนการผลิตทั้งหมด เช่น การประมวลผลการสั่งซื้อ, การออกแบบผลิตภัณฑ์, การผลิต การควบคุมและการตรวจสอบคุณภาพ และการขนส่งเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธภาพในด้านการทำงานส่วนต่างๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน โดยอาจนำระบบการผลิตแบบคล่องตัว (Flexible Manufacturing System : FMS) เข้ามาใช้ร่วมด้วย ทำให้สามารถเปลี่ยนการผลิตสินค้าอย่างหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่งเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 8. การควบคุมและการตรวจสอบคุณภาพ (Quality Control and Testing) ได้แก่ขบวนการในการในการควบคุมเพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าที่ผลิตออกมาตรงตามที่ลูกค้าต้องการ โดยใช้ซอฟต์แวร์ในการควบคุมคุณภาพ ต่างๆ ผลลัพธ์ที่ได้จากระบบการควบคุมคุณภาพ ได้แก่รายงาน ค่าใช้จ่ายที่ลดลงและยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยสารสนเทศที่ได้จากระบบนี้จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานทราบถึงปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์การผลิตและรายงานควบคุมคุณภาพยังใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้นอีกด้วยระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการตลาดระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการตลาด จะสนับสนุนการทำงานด้านการบริหารการพัฒนาผลิตภัณฑ์, การกระจายผลิตภัณฑ์, การตัดสินใจเรื่องราคา, การโฆษณาผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิผลและการทำนายยอดขาย โดยรูปที่ 17 แสดงภาพรวมของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการตลาดส่วนที่นำเข้าไปยังระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการตลาด ส่วนที่นำเข้าไปในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการตลาด มักจะได้มาจากแหล่งข้อมูลภายนอกได้แก่ อินเทอร์เน็ต, บริษัทคู่แข่งขัน, ลูกค้า, วารสาร และนิตยสาร และสิ่งพิมพ์อื่นๆ แต่ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลภายในก็ยังคงมีความสำคัญอยู่ ได้แก่1. แผนเชิงกลยุทธ์ และนโยบายของบริษัท ได้แก่แผนเชิงกลยุทธ์ในเรื่องเป้าหมายและทิศทางของยอดขายที่ต้องการ การกำหนดราคาสินค้าและบริการ, ช่องทางการกระจายสินค้า, รายการสนับสนุนการขาย, คุณลักษณะของสินค้าใหม่และในแผนเชิงกลยุทธ์ยังอาจมีการกำหนดแนวทางในการวิเคราะห์สารสนเทศทางด้านการตลาด และการตัดสินใจด้านการตลาดด้วย2. ระบบประมวลผลรายการ ในระบบประมวลผลรายการจะประกอบด้วยข้อมูลด้านการขายและด้านการตลาดมากมาย เช่นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์, ลูกค้า, และการขาย เป็นต้น นอกจากข้อมูลที่ได้จากระบบประมวลผลรายการแล้ว ยังอาจได้จากระบบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ด้วย 3. แหล่งข้อมูลภายนอก ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลภายนอก ได้แก่ - ข้อมูลเกี่ยวกับคู่แข่งขัน เช่นข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการใหม่ๆ, กลยุทธ์ในการกำหนดราคา, จุดแข็งและจุดอ่อนของประเภทผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่, การจัดหีบห่อ, การตลาด และการกระจายสินค้าไปยังลูกค้าของบริษัทคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถหาได้จากวัตถุดิบทางการตลาดเช่น แผ่นพับ, แผนการขายที่ได้จากบริษัทคู่แข่ง, จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตฯลฯ - ข้อมูลเกี่ยวกับตลาด ซึ่งมักจะได้มาจากการสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภค โดยหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในด้านวิจัยตลาด เป็นต้นระบบย่อยและผลที่ได้จากระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการตลาดระบบย่อยในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการตลาด ได้แก่ การวิจัยตลาด, การพัฒนาผลิตภัณฑ์, การโฆษณาและรายการสนับสนุนการขาย, และการกำหนดราคาสินค้า โดยผลลัพธ์ของระบบย่อยเหล่านี้จะช่วยให้ผู้จัดการด้านการตลาดและผู้บริหารสามารถเพิ่มยอดขาย, ลดค่าใช้จ่ายในการตลาดและพัฒนาแผนในการให้บริการและการผลิตสินค้าล่วงหน้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าระบบสารสนเทศด้านบุคลากร ได้แก่ระบบงานที่เกี่ยวข้องกับพนักงานขององค์กร เนื่องจากการทำงานของทรัพยากรมนุษย์จะเกี่ยวข้องกับทุกส่วนงานขององค์กร ดังนั้นระบบสารสนเทศด้านบุคลากรจึงมีบทบาทที่มีผลต่อความสำเร็จขององค์กร โดยระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ควรจะมีคุณสมบัติในการวิเคราะห์และวางแผนภาระงาน, การจ้างบุคลากร, การฝึก อบรมพนักงาน การกำหนดงานให้กับพนักงานและงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคลากร โดยระบบที่มีประสิทธิภาพควรจะสามารถจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรให้น้อยที่สุดในขณะที่ยังคงสามารถสนองตอบความต้องการบุคลากรในการดำเนินงานต่างๆ เพื่อดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรได้ รูปที่ 18 แสดงภาพรวมของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ส่วนที่นำเข้าไปยังระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์1. แผนเชิงกลยุทธ์และนโยบายของบริษัท ได้แก่ข้อมูลด้านวัตถุประสงค์และนโยบายในด้านบุคลากร เช่นนโยบายในการควบคุมคุณภาพ โดยมีการฝึกอบรมพนักงาน, มีการกระตุ้นให้มีส่วนร่วมในการทำงาน, มีการสลับหน้าที่การทำงานและการกำหนดบทบาทหน้าที่ในการทำงานของบุคลากรในองค์กร เป็นต้น2. ระบบประมวลผลรายการ ได้แก่ข้อมูลเงินเดือน, ข้อมูลการประมวลผลการสั่งซื้อ, ข้อมูลบุคลากร ข้อมูลที่ได้จากระบบประมวลผลรายการ ได้แก่- ข้อมูลเงินเดือน ค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าจ้าง, ค่าประกันสุขภาพ และเงินสวัสดิการต่างๆของบุคลากรในองค์กร โดยข้อมูลที่ระบบประมวลผลรายการได้รับอาจได้แก่ชั่วโมงการทำงาน อัตราค่าจ้างของพนักงาน และทำการคำนวณเงินเดือนค่าจ้างออกมาให้ - ข้อมูลการสั่งซื้อของพนักงานขายสามารถนำมาใช้ในการวางแผนงานการกำหนดบุคลากรได้ โดยพิจารณาจำนวนพนักงานขายที่ต้องการ ในการให้บริการหรือขายสินค้าขององค์กรที่จะมีการขยายตัวต่อไปในอนาคต - ข้อมูลบุคลากร ใช้ในการแบ่งระดับทักษะในการทำงาน โดยพิจารณาจากประสบการณ์การทำงาน, การประเมินประสิทธิภาพในการทำงาน, และสารสนเทศอื่นๆ ช่วยในการวางแผนงานการกำหนดงานให้กับพนักงานในด้านต่างๆ3. แหล่งข้อมูลภายนอก ได้แก่ข้อมูลเงินเดือนขององค์กรอื่น, ข้อมูลสถิติการว่าจ้าง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการกำหนดอัตรา ค่าจ้างหรอเงินเดือนให้กับพนักงานในองค์กรได้ ข้อมูลเหล่านี้อาจได้จากบริษัทที่ทำการวิจัยและพัฒนาในด้านเงินรายได้หรืออาจได้จากอินเทอร์เน็ตที่มีการสรุปข้อมูลของบริษัทที่ทำการวิจัยและพัฒนาทางด้านเงินเดือนก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถศึกษาได้จากข้อกำหนดทางด้านกฎหมายเรื่องค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ โดยพิจารณาตามแหล่ง ข้อมูลท้องถิ่น, สมาคมด้านแรงงานต่างๆ เป็นต้นระบบย่อยและผลที่ได้จากระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ระบบย่อยในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ ได้แก่ ระบบในการวางแผนทรัพยากรมนุษย์, การว่าจ้าง, การฝึกอบรมและการเสริมทักษะและการบริหารเงินเดือนและค่าจ้าง โดยผลลัพธ์ที่ได้จากระบบได้แก่รายงานการวางแผนทรัพยากรมนุษย์, ประวัติการทำงาน, รายงานการเสริมทักษะบุคลากร, การสำรวจเงินเดือน โดยรายงานเหล่านี้จะช่วยให้ผู้บริหารกำหนดงานให้กับพนักงาน เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล, และช่วยในการจัดตารางการทำงาน เพื่อให้ได้งานตามที่ต้องการได้ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการบัญชีระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านการบัญชี จะสนับสนุนการทำบัญชีให้กับองค์กร โดยในระบบนี้ประกอบด้วยการทำงานที่สำคัญมากมาย เช่น ทำการรวมกลุ่มสารสนเทศในบัญชีรายจ่าย, บัญชีรายรับ , บัญชีเงินเดือน ฯลฯ โดยการใช้ข้อมูลที่ได้จากระบบประมวลผลรายการขององค์กรระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการระดับกลุ่มงานกลุ่มงาน หมายถึง ระบบที่ถูกจัดการของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปซึ่งทำงานเกี่ยวข้องกัน เพื่อให้ระบบนั้นปฏิบัติงานบางอย่าง โดยมีกลุ่มบทบาทมาตรฐานของความสัมพันธ์ของสมาชิกในกลุ่มและมีกลุ่มของค่ามาตรฐานซึ่งกำหนดการปฏิบัติงานของกลุ่มนั้นและสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มแนวคิดของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการระดับกลุ่มงานกลุ่มงานที่ประกอบด้วยส่วนที่เหมือนกัน (Homogeneous Workgroups)หมายถึงกลุ่มงานที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีบทบาทและงานที่ทำเหมือนกัน (ยกเว้นผู้บริหาร) เช่น กลุ่มการ ส่งสินค้าจากคลังสินค้า ซึ่งอาจมีหัวหน้าหนึ่งคน การทำงานแบ่งออกเป็น 2 รอบ แต่ละรอบมีผู้ดูแลรอบละหนึ่งคน พนักงานที่เหลือจะทำงานอยู่ในกลุ่มรอบที่หนึ่งหรือรอบที่สอง การทำงานของพนักงานเหล่านี้จะเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อเพิ่มพนักงานขึ้นอีกหนึ่งคนเข้าไปในกลุ่ม จะทำให้ได้งานเพิ่มขึ้นจำนวนหนึ่ง ถ้าเพิ่มพนักงานคนที่สอง, สาม,สี่ และมากขึ้น เข้าไปในกลุ่มจะได้งานเพิ่มเท่าๆ กันสำหรับพนักงานแต่ละคนระบบสารสนเทศสำหรับกลุ่มงานลักษณะนี้สามารถสร้างได้ง่าย เนื่องจากสมาชิกทุกคนทำงานเหมือนกัน เมื่อระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นสามารถสนับสนุนการทำงานของพนักงานได้หนึ่งคน ก็เท่ากับสามารถสนับสนุนการทำงานของสมาชิกรายอื่นๆ ในกลุ่มได้เช่นเดียวกันกลุ่มงานที่ประกอบด้วยส่วนที่ไม่เหมือนกัน (Heterogeneous Workgroups)หมายถึงกลุ่มงานที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีบทบาทและงานที่ทำแตกต่างกัน เช่น กลุ่มให้การช่วยเหลือลูกค้า ในกลุ่มมีบุคคลที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งแตกต่างกัน ในกลุ่มให้ความช่วยเหลือลูกค้าอาจแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ เช่น กลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือด้านสินค้าประเภทโปรแกรมประมวลผลคำ กลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับสินค้าประเภทระบบจัดการฐานข้อมูล กลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับสินค้าประเภทแผ่นงาน หรือกลุ่มที่ทำการฝึกอบรมพนักงานในกลุ่มเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้า การพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับกลุ่มงานลักษณะนี้ทำได้ค่อนข้างยากและเสียค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากระบบจะต้องพยายามที่จะรองรับการทำงานของสมาชิกแต่ละคน ซึ่งมีงานที่ต้องทำแตกต่างกันประเภทของกลุ่มงานกลุ่มงาน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ1. กลุ่มงานถาวร (Permanent Workgroups) ได้แก่แผนกหรือการทำงานที่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในองค์กร เช่นกลุ่มงานเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้า2. กลุ่มงานชั่วคราว (Temporary Workgroups) ได้แก่กลุ่มงานที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาบางอย่าง หรือเมื่อมีโอกาสพิเศษเกิดขึ้น เช่นกลุ่มงานเพื่อพัฒนาสินค้าออกใหม่กลุ่มงานส่วนมากมักจะอยู่ที่เดียวกัน (Single-Site) แต่ในปัจจุบันกลุ่มงานสามารถกระจายอยู่ในที่ต่างๆ ได้(Distributed) เช่น กลุ่มพนักงานที่ทำงานในสาขาต่างๆ ทั่วโลก โดยระบบสื่อสารข้อมูลสามารถเข้ามาช่วยสนับสนุนการทำงานของกลุ่มงานที่กระจายอยู่ต่างที่กันได้ส่วนประกอบของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการระดับกลุ่มงานคุณลักษณะของระบบสารสนเทศเชิงกลุ่ม ได้แก่การที่ผู้ใช้ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หรือเรียกว่าสมาชิกกลุ่มซึ่งทำงานโดยมีมุมมองบางอย่างและจุดประสงค์ร่วมกัน รูปที่ 19 แสดงระบบสารสนเทศเชิงกลุ่ม เป็นการจัดฮาร์ดแวร์ต่างๆ และเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อเข้าด้วยกันผ่านเครื่องข่ายระยะใกล้ (Local Area Network : LAN) โดยผู้ใช้ปฏิบัติตามขบวนการ เพื่อรวบรวม พิมพ์และใช้ข้อมูลร่วมกัน โดยการใช้ฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมถึงกัน โดยฮาร์ดแวร์นั้นไม่เพียงแต่ประมวลผลข้อมูลเท่านั้น แต่ยังจัดการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องต่างๆ ด้วยจุดประสงค์ของระบบสารสนเทศระดับกลุ่มงาน คือเพื่อสนับสนุนการทำงานในระดับกลุ่มงานให้เกิด ประสิทธิผล โดยประสิทธิผลของกลุ่มงานสามารถพิจารณาได้จาก1. ระบบสามารถให้ผลลัพธ์ได้ตามที่คาดหวังไว้หรือมากกว่า2. สามารถทำให้เกิดความพอใจของสมาชิกในกลุ่มได้3. มีความสามารถในการสนับสนุนการทำงานของกลุ่ม ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้คุณสมบัติของระบบสารสนเทศระดับกลุ่มงานความแตกต่างระหว่างระบบสารสนเทศระดับบุคคลและระดับกลุ่มงาน คือ ระบบสารสนเทศระดับกลุ่มงานต้องสนับสนุนการควบคุมการใช้ข้อมูล, สารสนเทศ, ความรู้ และทรัพยากรอื่นๆร่วมกันได้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่มงานในการเพิ่มผลของงาน ทำได้โดยการเพิ่มความพยายามและความรู้และปรับปรุงกลยุทธ์ในการทำงานให้ดีขึ้นและสมาชิกในกลุ่มจะต้องได้รับอนุญาตให้เข้าใช้ทรัพยากรของสมาชิกอื่น หรือกลุ่มงานอื่นได้การควบคุมการใช้งานร่วมกันการควบคุมการใช้งานร่วมกันทำให้สมาชิกของกลุ่มงานสามารถเข้าใช้ทรัพยากรเดียวกันได้ แต่จะต้องไม่ รบกวนการทำงานของสมาชิกหรือกลุ่มงานอื่นและสมาชิกทุกคนในกลุ่มไม่จำเป็นต้องสามารถเข้าใช้ทรัพยากรของกลุ่มได้ทั้งหมด ดังนั้นระบบสารสนเทศระดับกลุ่มงานจะต้องมีส่วนของการรักษาความปลอดภัย เช่น มีการใช้รหัสผ่าน, การใช้บัญชีรายชื่อผู้ใช้หรือรูปแบบอื่นๆที่จำกัดสิทธิ์ในการเข้าใช้งานทรัพยากรต่างๆ ในกลุ่มได้ การใช้งานร่วมกัน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ1. การใช้ฮาร์ดแวร์ร่วมกันได้แก่การอนุญาตให้สมาชิกของกลุ่มงานสามารถ เข้าใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ราคาแพง ซึ่งสมาชิกไม่สามารถทำงานของตนได้หากปราศจากความสามารถของอุปกรณ์นั้น เช่น เมื่อสมาชิกในระบบสารสนเทศบุคลากรต้องการใช้เครื่องพิมพ์เลเซอร์ ซึ่งไม่มีทุนพอที่จะซื้อเป็นของตนเอง สามารถที่จะใช้เครื่องพิมพ์ที่มีอยู่ในกลุ่มงานอื่นได้ นอกจากการใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกันแล้ว อุปกรณ์ที่สามารถใช้ร่วมกัน ได้แก่ กล้องถ่ายรูป พล็อตเตอร์ และอุปกรณ์แสดงผลอื่นๆ หรือหน่วยความจำสำรองที่มีความจุและความเร็วสูง สามารถนำมาแบ่งเป็นส่วนและให้ผู้ใช้สามารถเข้าใช้งานส่วนนั้นได้อย่างเต็มที่ รูปที่ 20 แสดงการใช้งานฮาร์ดแวร์ร่วมกัน โดยผู้ใช้สำเนาข้อมูลลงในแผ่นดิสก์ และนำไปยังอีกเครื่องหนึ่งเพื่อจัดเก็บหรือพิมพ์ และรูปที่ 21 แสดงการใช้งานฮาร์ดแวร์ร่วมกัน โดยเชื่อมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ผ่านเครือข่ายระยะใกล้ (Local Area Network : LAN) ซึ่งอนุญาตให้คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งสื่อสารกับอีกเครื่องหนึ่ง และสามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆ ร่วมกันได้2. การใช้ข้อมูลร่วมกัน การใช้ข้อมูลร่วมกันของระบบสารสนเทศที่นำมาใช้ในกลุ่มงาน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ- เพื่อปรับปรุงผลงานแต่ละส่วนได้ดีขึ้น ได้แก่การใช้ข้อมูลร่วมกันเพื่อให้เกิดผลงานของแต่ละส่วนเพิ่มมากขึ้น- เพื่อให้เกิดการร่วมมือกันของการปฏิบัติงานของกลุ่ม ได้แก่การนำข้อมูลที่ได้จากการทำงานรายวันของกลุ่ม อาจได้จากระบบประมวลผลรายการ หรือระบบอื่นๆมาใช้ร่วมกัน- เพื่อแก้ปัญหาและทำการตัดสินใจระดับกลุ่ม ได้แก่ การใช้ข้อมูลร่วมกันในการแก้ปัญหาหรือ ตัดสินใจ ในการตัดสินใจแต่ละครั้งผู้ร่วมตัดสินใจมีเวลาในการออกความเห็นในที่ประชุมไม่มากทำให้แสดงความคิดเห็นได้ไม่เต็มที่ ระบบสารสนเทศระดับกลุ่มสามารถช่วยให้ผู้เข้าร่วมตัดสินใจแสดงความคิดเห็นได้มากขึ้นผ่านทางแป้นพิมพ์ อีกทั้งยังช่วยให้ผู้มีส่วนในการตัดสินใจทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะกระทบต่อตำแหน่งงานของตนซอฟต์แวร์ที่สนับสนุนการทำงานเชิงกลุ่มซอฟต์แวร์เชิงกลุ่ม หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่สนับสนุนการทำงานของสมาชิกในกลุ่มธุรกิจที่มีการทำงานร่วมกัน โดยสนับสนุนด้านการสื่อสารและการทำงานร่วมกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ซอฟต์แวร์เชิงกลุ่มใช้ในคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยให้การทำงานโต้ตอบกันของมนุษย์ทำได้สะดวกขึ้น โดยปกติแล้วจะทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งมีการเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ของสมาชิกอื่นๆ ในกลุ่มและคอมพิวเตอร์อื่นๆ บนโลก ในปัจจุบันการทำงานของซอฟต์แวร์เชิงกลุ่มอาจนำไปใช้ร่วมกับเครือข่ายอินทราเน็ต ซึ่งเป็นเครือข่ายภายในองค์กร โดยการทำงานหลักของซอฟต์แวร์เชิงกลุ่มได้แก่1. การใช้สารสนเทศร่วมกัน (Information Sharing)สมาชิกในกลุ่มต้องสามารถใช้สารสนเทศและความรู้ร่วมกันเพื่อให้สามารถทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว และคอมพิวเตอร์ส่วนรวมได้ เช่นการนำชุดซอฟต์แวร์เชิงกลุ่ม เช่น โลตัสโน้ต(Lotus Notes) ของบริษัทไอบีเอ็ม สามารถใช้สารสนเทศซึ่งประกอบด้วยเอกสารสื่อผสม (Document Multimedia) ได้แก่ข้อความ รูปภาพ เสียง และภาพเคลื่อนไหว ร่วมกันได้ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม โดยสมาชิกสามารถบันทึกสารสนเทศใหม่, ใช้แบบฟอร์ม และการเรียกใช้สารสนเทศโดยใช้คำสำคัญได้ โดยโลตัสโน้ตมี คุณสมบติในการสำเนาชุดข้อมูล (Replication) การ ปรับปรุงสารสนเทศในเครื่องที่อยู่ระยะไกลเมื่อมีการป้อนสารสนเทศใหม่เข้าไปในระบบได้อย่างอัตโนมัติ การใช้ซอฟต์แวร์เชิงกลุ่มทำให้สมาชิกในกลุ่มสามารถรวบรวมสารสนเทศตามหัวข้อที่ต้องการได้, วิจารณ์งานของสมาชิกอื่นและรวบรวมสารสนเทศของกลุ่มได้ 2. การเขียนเอกสาร (Document Authoring)ในกลุ่มงานจำเป็นต้องมีการผลิตเอกสารทางในการดำเนินการ, รายงาน หรือข้อเสนอทางธุรกิจ ดังนั้นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในกลุ่มจึงต้องสามารถผลิตเอกสารสื่อผสมต่างๆ ได้แก่เอกสารที่ประกอบด้วยข้อความ,แผนภาพ และรูปภาพได้ โดยสมาชิกสามารถแทรกข้อความเพิ่มเติมและเสียงวิจารณ์ต่อท้ายเอกสารนั้นๆ ได้ หรืออาจมีคุณสมบัติในด้านการนำเสนอผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีของไฮเปอร์เท็กซ์(Hypertext) และไฮเปอร์มีเดีย(Hypermedia) เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงไปยังเอกสารหรือสื่อผสมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเอกสารที่กำลังอ่านอยู่ด้วยก็ได้ 3. ระบบการรับ-ส่งข้อความ (Messaging Systems)ได้แก่ระบบที่สนับสนุนการทำงานของการใช้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Mail: E-Mail) ไม่ว่าจะเป็นการรับส่งข้อความระหว่างภายในหรือภายนอกกลุ่มงานก็ตาม เพื่อให้เกิดการสื่อสารระหว่างการประชุมได้ โดยระบบการรับ-ส่งข้อความที่ใช้จะต้องสามารถจัดการในเรื่องของรายชื่อของผู้ที่จะได้รับข้อความได้, มีการเตือนเมื่อมีข้อความเข้ามาใหม่, มีการยืนยันกลับเมื่อได้รับข้อความแล้วและอาจมีความสามารถในการติดตามการรับ-ส่ง ข้อความที่ผ่านมาแล้วได้ ในบางระบบสามารถให้ผู้ใช้กำหนดโครงสร้างของการสื่อสารด้วยข้อความได้ เช่น กำหนดให้มีการเตือนสมาชิกในกลุ่มเมื่อถึงกำหนดส่งงานได้ 4. การอภิปรายทางคอมพิวเตอร์ (Computer Conference)ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานของกลุ่ม โดยโปรแกรมที่สนับสนุนการอภิปรายกลุ่มอาจมีคุณสมบัติในการ แลกเปลี่ยนรายงานความก้าวหน้า และการอภิปรายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นโดยการแลกเปลี่ยนข้อความระหว่างสมาชิกในกลุ่มได้ โดยข้อความในการอภิปรายจะถูกบันทึกไว้และสมาชิกอื่นๆ ในกลุ่มสามารถค้นหาและอ่านข้ออภิปรายที่เกิดขึ้นได้ และผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่มีสารสนเทศที่มีประโยชน์เกี่ยวกับ ข้ออภิปรายนั้นสามารถทำการให้ข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้ความกระจ่างต่อข้ออภิปรายนั้นได้ 5. การทำปฏิทินกลุ่ม (Group Calendaring)ได้แก่คุณสมบัติในการติดตามตารางนัดหมายของสมาชิกแต่ละคน เพื่อให้ง่ายต่อการจัดตารางการนัดพบกัน ตัวอย่างเช่น เมื่อต้องการนัดพบกลุ่มการผลิต สามารถป้อนรายชื่อของผู้ที่ต้องการนัดพบให้กับระบบ ระบบจะทำการตรวจสอบตารางนัดหมายของบุคคลเหล่านั้นว่าว่างช่วงใด เมื่อตรวจสอบพบจะทำการกำหนดการนัดหมายลงในช่วงเวลานั้นให้โดยอัตโนมัติและร้องขอการยืนยันกลับจากส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 6. การจัดการโครงงาน (Project Management)ได้แก่คุณสมบัติในการติดตามความก้าวหน้าของโครงงาน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการโครงงานได้แก่ แกนต์ชาร์ต (Gantt Chart) ซึ่งแสดงลำดับการทำงานต่างๆ ของโครงงาน ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ ด้วยกราฟแท่ง แนวนอนและแสดงสถานะของโครงงานในขณะนั้นว่าเสร็จสิ้นแล้ว, กำลังดำเนินการอยู่หรือเกินกำหนดไปแล้วได้ ทำให้สามารถคำนวณค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น 7. การสนับสนุนการสร้างกลุ่มงาน (Support for Team Building)ได้แก่เครื่องมือที่ช่วยกำหนดนโยบายร่วมของกลุ่ม โดยบริหารเรื่องการสอบถามความต้องการของสมาชิกกลุ่ม เพื่อกำหนดรูปแบบการสื่อสารระหว่างกัน, การกำหนดข้อบังคับในการทำงานกลุ่มและการหาผู้นำกลุ่ม โดยให้เลือกชื่อ ผู้นำกลุ่มที่ต้องการ เป็นต้นการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการการเข้าใจขั้นตอนในการพัฒนาระบบเป็นเรื่องสำคัญไม่เฉพาะกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศเท่านั้น ในระบบธุรกิจปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการ หรือพนักงานทั่วไปต่างก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยใช้ระบบสารสนเทศทางธุรกิจทั้งสิ้น ระบบสารสนเทศที่ประสบผลสำเร็จจะต้องได้รับความร่วมมือต่างๆ จากผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ระดับสูงหรือผู้ใช้ระดับล่างก็ตามวงจรการพัฒนาระบบการเข้าใจขั้นตอนในการพัฒนาระบบเป็นเรื่องสำคัญไม่เฉพาะกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศเท่านั้น ในระบบธุรกิจปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการ หรือพนักงานทั่วไปต่างก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยใช้ระบบสารสนเทศทางธุรกิจทั้งสิ้น ระบบสารสนเทศที่ประสบผลสำเร็จจะต้องได้รับความร่วมมือต่างๆ จากผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ระดับสูงหรือผู้ใช้ระดับล่างก็ตามวงจรการพัฒนาระบบขบวนการในการพัฒนาระบบเรียกว่าวงจรชีวิตในการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle : SDLC) โดยแต่ละระบบที่กำลังจะถูกสร้างขึ้นจะเริ่มขบวนการในการสร้างไปจนกระทั่งถึงกำหนดที่วางไว้และขั้นตอน สุดท้ายคือการติดตั้งระบบและเกิดการยอมรับระบบ ชีวิตของระบบยังรวมไปถึงขั้นตอนในการดูแลรักษาและการทดลองใช้ด้วย ถ้าระบบจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงภายใต้ข้อกำหนดของการดูแลรักษา ถ้าระบบเก่าจำเป็นต้องถูกแทนที่เนื่องจากมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น หรือถ้าองค์กรมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนระบบ โครงงานใหม่และวงจรชีวิตของระบบก็จะเริ่มต้นขึ้น วงจรชีวิตของการพัฒนาระบบมักจะแบ่งออกเป็น 5 ระยะได้แก่ การศึกษาระบบ, การวิเคราะห์ระบบ, การ ออกแบบระบบ, การนำระบบไปใช้งาน และการดูแลรักษาระบบ ดังรูปที่ 22 ซึ่งแสดงวงจรชีวิตของการพัฒนาระบบที่เริ่มจากระยะที่หนึ่ง ไปจนกระทั่งถึงระยะสุดท้าย โดยในแต่ละระยะสามารถกลับมาเริ่มต้นทำระยะก่อนหน้าได้เสมอหากมีส่วนที่ต้องการแก้ไขเพิ่มเติม หรือปรับปรุงการศึกษาระบบได้แก่การหาว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร คุ้มค่าแก่การแก้ไขหรือไม่ ผลที่ได้จากขั้นตอนนี้คือโครงงานระบบ สารสนเทศจะถูกกำหนดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาหรือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ ภายใต้ข้อจำกัดทางด้านทรัพยากรที่องค์กรมีอยู่ การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ เป็นการประเมินระบบในด้านเทคนิค, ด้านการปฏิบัติการ, ด้านการจัดตาราง, และความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ ได้แก่- ด้านเทคนิค เป็นการพิจารณาว่าในการพัฒนาระบบนี้ จะต้องมีการจัดเตรียมฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และ องค์ประกอบอื่นๆอะไรอีกบ้าง- ด้านปฏิบัติการ เป็นการพิจารณาว่าโครงการสามารถนำไปปฏิบัติได้หรือไม่ เนื่องจากระบบใหม่ที่จะนำ เข้ามาใช้นั้น จะต้องพิจารณาในแง่ของการยอมรับของบุคลากรที่ทำงานอยู่เดิมด้วย หากเกิดการต่อต้านอาจทำให้งานไม่ประสบผลตามที่คาดหวังไว้ได้- ด้านการจัดตาราง พิจารณาในแง่ของระยะเวลาที่ใช้ในการพัฒนาโครงการ ว่ามีการใช้เวลาและทรัพยากรในระดับที่ยอมรับได้หรือไม่- ด้านเศรษฐกิจ พิจารณาว่าโครงการที่จะพัฒนานี้ต้องใช้ค่าใช้จ่ายมากน้อยเพียงใด คุ้มค่ากับผลกำไรที่จะได้รับหรือไม่ผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนการศึกษาระบบ จะเป็นรายงานที่สรุปผลของการศึกษาระบบและขบวนการของการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ และข้อแนะนำในการปฏิบัติ เช่น ควรจะทำการพัฒนาระบบต่อไปในขั้นตอนการวิเคราะห์ระบบหรือไม่ หรือควรจะแก้ไขการทำงานในส่วนใด หรือควรยกเลิกการทำงานในส่วนใด โดยรายงานที่ได้อาจประกอบไปด้วยข้อมูลต่างๆ เช่น วัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กร, ปัญหาและโอกาสที่เกิดขึ้นในระบบ, ความเป็นไปได้ของ โครงการ, ค่าใช้จ่ายของโครงการ, ข้อดีของโครงการ และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโครงการ เป็นต้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่การสื่อสารข้อมูลในรูปแบบมาตรฐานหรือรูปแบบที่ผู้รับอนุญาตเพื่อที่จะสามารถนำไปดำเนินรายการทางด้านธุรกิจตามมาตรฐาน ระหว่างบริษัทหรือระหว่างชุดโปรแกรมกับชุดโปรแกรมของบริษัทได้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ใช้ระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ในองค์กรต่างๆ และดำเนินตามมาตรฐานและขบวนการซึ่งอนุญาตให้ผลลัพธ์จากระบบหนึ่ง ถูกประมวลผลโดยตรงเพื่อเป็นข้อมูลนำเข้าไปยังระบบอื่นๆได้ โดยไม่ต้องให้มนุษย์เป็นผู้ดำเนินการระหว่างขบวนการเหล่านี้เลยด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ของลูกค้า, ผู้ผลิต และแหล่งผลิต สามารถถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ดังรูปที่23 ทำให้สามารถลดจำนวนการใช้เอกสารที่เป็นกระดาษและลดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินงานผิดพลาดลงได้ การสั่งซื้อหรือคำร้องขอของลูกค้าจะถูกส่งจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของลูกค้าไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ผลิตและเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ผลิตเมื่อได้รับคำสั่งซื้อนั้น สามารถพิจารณาได้ว่ามีสินค้าพอหรือไม่ ถ้าต้องผลิตเพิ่มจะทำการส่งคำสั่งซื้อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของแหล่งผลิตอย่างอัตโนมัติการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่การดำเนินรายการ (Transaction)ทางด้านธุรกิจผ่านสื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ ระหว่างฝ่ายต่างๆ เช่น ระหว่างบริษัท (ธุรกิจกับธุรกิจ) ระหว่างบริษัทกับลูกค้า (ธุรกิจกับผู้บริโภค) ระหว่างธุรกิจกับส่วนงานสาธารณะหรือระหว่างลูกค้ากับส่วนสาธารณะ คนโดยทั่วไปมักคิดว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หมายถึงการที่ ผู้บริโภคเข้าไปยังเว็บไซท์ใดๆ เพื่อทำการซื้อสินค้าแบบออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้วการซื้อขายสินค้าผ่านเว็บไซท์เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น การใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถช่วยให้การ ดำเนินงานในการซื้อ-ขายของบริษัทใหญ่ๆ ทำได้ง่ายขึ้นหรือแม้กระทั่งกับบริษัทเล็กๆ เองก็มีโอกาสที่จะขายสินค้าในราคาต่ำ ในกลุ่มตลาดต่างๆ ทั่วโลก ข้อดีของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ได้แก่การซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องเบียดเสียดกับฝูงคนมากมายในห้างสรรพสินค้า, สามารถชื้อสินค้าได้ตลอดเวลาที่ต้องการเมื่ออยู่ที่บ้านหรือที่ทำงาน และได้รับสินค้าโดยตรงถึงบ้านไม่ต้องขนส่งเองรูปที่24 แสดงตัวอย่างการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในขบวนการสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่จากบริษัทผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งในการสั่งซื้อโดยทั่วไปแล้วจะเริ่มตั้งแต่พนักงานเขียนคำร้องขอเพื่อสั่งซื้อสินค้าและนำไปผ่านการขออนุมัติการสั่งซื้อ เมื่อผ่านการอนุมัติแล้วจึงนำใบร้องขอนั้นไปทำเป็นแบบสั่งซื้ออย่างเป็นทางการและส่งไปยังผู้ขายสินค้าที่ต้องการ ขบวนการเหล่านี้สามารถสำเร็จได้โดยง่ายเมื่อใช้พาณิชย์อิเล็กทอรนิกส์ โดยพนักงานสามารถไปยังเว็บไซท์ของผู้ขายเฟอร์นิเจอร์ และเลือกสินค้าที่ต้องการจากรายการสินค้าในเว็บไซท์นั้นๆ และทำการสั่งซื้อสินค้าตามราคาที่ ตกลงไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ถ้าการสั่งซื้อต้องผ่านการอนุมัติก่อน ผู้อนุมัติจะได้รับการแจ้งให้ทราบถึงการสั่งซื้อนี้ จากความสะดวกสบายต่างๆ ทั้งในด้านของผู้ดำเนินธุรกิจและในด้านของผู้บริโภค ในปัจจุบัน พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จึงมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วสรุประบบสารสนเทศเพื่อการจัดการเป็นการรวมกลุ่มของฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์, คน, ขบวนการ, ฐานข้อมูล และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อการจัดการกับข้อมูลและสารสนเทศช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายได้ โดยระบบสารสนเทศเพื่อการ จัดการจะช่วยให้ผู้จัดการมองเห็นภาพรวมของการปฏิบัติงานขององค์กร ทำให้สามารถควบคุม, จัดการและวางแผน การปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ระบบสารสนเทศขององค์กร อาจประกอบด้วยระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านต่างๆ ในองค์กร เช่น ด้านการเงิน, การตลาด, การผลิตฯลฯ โดยแต่ละระบบต้องการข้อมูลเข้าที่แตกต่างกัน, ประกอบด้วยระบบย่อยๆ ที่สนับสนุนการทำงานด้านนั้นๆ ที่แตกต่างกันและยังให้ผลลัพธ์ของระบบที่แตกต่างกันอีกด้วย ส่วนขั้นตอนของการพัฒนาระบบสารสนเทศ แต่ละระบบจะเป็นไปตามวงจรชีวิตของการพัฒนาระบบ โดยจะเริ่มที่การศึกษาระบบเพื่อค้นหาปัญหาที่เกิดขึ้น, การวิเคราะห์ระบบ เพื่อเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและสิ่งที่ต้องพัฒนา, การออกแบบระบบ ซึ่งแบ่งออกเป็นการออกแบบเชิงตรรกะและการออกแบบทางกายภาพ เพื่อกำหนดวิธีการในการพัฒนาระบบ, การนำไปใช้ ได้แก่การพัฒนาระบบตามที่ได้ออกแบบไว้และนำระบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้และขั้นสุดท้ายเป็นการดูแลรักษา เพื่อตรวจสอบและแก้ไขระบบ เมื่อมีข้อผิดพลาดหรือมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น
เขียนโดย ณัชพล กาฬภักดี ที่ 8:48 หลังเที่ยง